Categories
LIFESTYLE

โคโรน่าไวรัส กับ 7 วิธีซักผ้าง่ายๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ทุกคนทำในช่วงนี้

โคโรน่าไวรัส กับ 7 วิธีซักผ้าง่ายๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ทุกคนทำในช่วงนี้

( 7 วิธีซักผ้าง่ายๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ทุกคนทำในช่วงนี้ ) ในช่วงที่โคโรน่าไวรัส หรือ COVID-19 กำลังระบาดอย่างหนักนี้ หลักการปฏิบัติเมื่อต้องออกไปข้างนอกที่หลายคนรับทราบกันดี คือการสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งของสาธารณะ กินอาหารในจานตัวเอง ไม่กินร่วมกับบุคคลอื่น หรือบางคนอาจจะเลือกการกินฟ้าทะลายโจร และมี Social Distancing หรือระยะห่างกับบุคคลอื่น ๆ อย่างน้อย 2 เมตร ซึ่งก็ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ดีระดับหนึ่ง

การซักผ้าในช่วงโควิด

แต่รู้หรือไม่ว่า เชื้อ COVID-19 ยังสามารถอยู่บนเสื้อผ้าและกระดาษทิชชู่ได้อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมง แม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่ได้เอาใจใส่ หรือมองข้ามเรื่องเสื้อผ้าที่สวมใส่ไป ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นนอกจากวิธีล้างผลไม้ให้ปลอดสารพิษแล้ว บทความนี้เราจึงขอแนะนำการซักเสื้อผ้า 7 วิธี เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสได้อย่างมากขึ้น

1.ใส่เสร็จแล้วควรซักทันที ไม่ควรนำกลับมาใส่ซ้ำ

  • โดยปกติแล้ว คนทั่วไปคงจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซ้ำกันอยู่แล้ว เพราะแต่ละวันเราต้องเจอกับสิ่งสกปรกมากมาย รวมถึงคราบเหงื่อไคลที่ไหลออกจากร่างกายของเรา แต่อย่าลืมว่า ยังมีเสื้อผ้าบางอย่างที่เรามักจะหยิบมาใช้ซ้ำกันบ่อย ๆ ด้วยความเคยชิน เช่น กางเกงยีนส์ หรือชุดนอน เป็นต้น มีผู้ชายหลายคนที่ชอบใส่กางเกงยีนส์ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง หรืออาจถึงขั้นเป็นเดือน ๆ เพื่อให้กางเกงอยู่ทรงและเป็นเฟดสวย และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ใส่ชุดนอนซ้ำกัน 2-3 คืนถึงจะเอาไปซัก พฤติกรรมประเภทนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ หากเผลอใส่เสื้อผ้าเหล่านี้ออกไปข้างนอก แล้วเอากลับมาใส่ซ้ำเรื่อย ๆ  เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้ให้หยุดใส่เสื้อผ้าซ้ำกันไปก่อน กลับจากข้างนอกให้เปลี่ยนชุดแล้วถอดผ้าโยนลงตะกร้าไปเลย หากไม่อยากซักกางเกงยีนส์ก็ให้งดใส่ไปก่อนในช่วงนี้

2.ตากเสื้อผ้าในที่ที่มีแดดจัด

  • ถึงแม้ว่าการซักผ้าด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาซักผ้า ก็สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างหมดจดอยู่แล้ว แต่ก็น่าจะดีไม่น้อยหากเอาผ้าไปตากในที่ที่มีแดดจัด เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคซ้ำอีกครั้ง ที่กล่าวแบบนี้ เพราะบางคนชอบตากผ้าในที่ร่ม โดยเฉพาะคนที่ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าและปั่นแห้งเพื่อให้ผ้าหมาดอยู่แล้ว เอาไปผึ่งลมเพียงไม่นานผ้าก็จะแห้งสนิท อย่างไรก็ตาม มีผ้าบางชนิดที่อาจจะต้องระวังไม่ตากกลางแดดจัด รวมถึงไม่ตากแดดเป็นเวลานาน ๆ  เพราะอาจทำให้สีผ้าเปลี่ยน หรือหมองลงไปกว่าเดิม

3.ผึ่งเสื้อผ้าในที่ที่มีแดดบ้าง

  • นอกจากการตากผ้ากลางแดดแล้ว การผึ่งเสื้อผ้าในที่ที่มีแดดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน แต่กรณีนี้อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำ หรือไม่สะดวกที่จะซักเสื้อผ้าบ่อย ๆ มากกว่า ถ้ารู้ตัวว่าคุณไม่สะดวกที่จะซักเสื้อผ้าทุกวัน ในทุกเช้าก่อนไปทำงาน หรือออกไปทำธุระข้างนอก ให้เอาเสื้อผ้าออกมาผึ่งแดดทิ้งไว้ จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ส่วนหนึ่ง และถ้าไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่ควรเอามาผึ่งแดด ให้เริ่มจากผ้าเช็ดตัวหลังอาบน้ำได้เลย

ซักผ้าช่วงโควิด

4.อย่าลืมซักผ้าปูที่นอนบ่อย ๆ

  • มีบางคนกลับจากข้างนอกแล้วชอบไปนอนเล่นอยู่บนเตียงและโซฟาเป็นเวลานาน ๆ หรืออาจถึงขั้นหลับไปซักงีบเลย กว่าจะลุกไปอาบน้ำและทำกิจกรรมอื่น ๆ หากเป็นเช่นนี้ ในกรณีที่มีเชื้อไวรัสติดเสื้อผ้ากลับมาด้วย ก็มีโอกาสที่เชื้อเหล่านั้นจะปนเปื้อนอยู่บนเครื่องนอน ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่ม เพราะฉะนั้นจึงควรซักผ้าปูที่นอนบ่อย ๆ หากเป็นไปได้ควรซักด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน และเอาไปตากแดดจัด ๆ ด้วย ในส่วนของโซฟา ก็ให้ใช้สเปรย์กำจัดเชื้อโรคทำความสะอาดบ่อย ๆ เช่นกัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจเกาะอยู่ และถ้าหากมีเวลาว่างมากพอ ให้หมั่นทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ส่วนต่าง ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ตู้ เตียง เพราะถ้าเผลอเอาเชื้อไวรัสเข้ามาในบ้านแล้ว ก็มีโอกาสที่ไวรัสจะปะปนอยูในทุกพื้นที่

5.กลับถึงบ้านต้องรีบอาบน้ำ

  • ถ้าหากไม่อยากซักผ้าบ่อย ๆ โดยเฉพาะผ้าปูที่นอนที่ต้องออกแรงซักมากกว่าเสื้อผ้าธรรมดา รวมถึงไม่อยากทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์เสมอ ทันทีที่กลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ำทันที เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและเชื้อไวรัสต่าง ๆ ส่วนเสื้อผ้าสามารถทิ้งไว้ในตะกร้ากองรวมกันได้ แต่ไม่ควรหยิบมาซ้ำ หรือหยิบมาเช็ดทำความสะอาดยามฉุกเฉิน เพราะหากเชื้อไวรัสยังมีชีวิตอยู่ ก็จะเริ่มแพร่กระจายไปติดตามส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ซึ่งระยะที่ไวรัสจะอยู่บนพื้นผิวต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกันไป เช่น อยู่บนโต๊ะที่มีพื้นผิวเรียบได้นาน 48 ชั่วโมง หรือถ้าเข้าไปอยู่ในตู้เย็น อาจอยู่ได้นานอย่างน้อย 30 วัน อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสได้

6.ใช้เครื่องอบผ้า

  • หากมีเครื่องอบผ้าอยู่ที่บ้าน หรือมีเครื่องอบผ้าหยอดเหรียญอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ถือเป็นโอกาสดีที่จะใช้ประโยชน์จากเครื่องนี้ในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเครื่องอบผ้ามักจะมีอุณหภูมิประมาณ 70-90 องศาเซลเซียสขึ้นไป (ควรศึกษาการใช้งานให้ดี เพราะหากตั้งอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เสื้อผ้าได้รับความเสียหาย) ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สามารถฆ่าเชื้อโคโรน่าไวรัสได้อย่างอยู่หมัด แต่ถ้าหากไม่สามารถหาเครื่องอบผ้าได้จริง ๆ ก็ไม่ต้องกังวลใจ หรือไม่ต้องรีบไปหาซื้อใหม่ เพราะการแช่และซักด้วยผงซักฟอกก็สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ตามปกติอยู่แล้ว และถ้าหากได้รีดผ้าซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าเชื้อโรคจะเก่งแค่ไหน ยังไงก็ไม่เหลือ

หลีกเลี่ยงใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม-COVID

7.เลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม

  • นอกจากทำให้เสื้อผ้านุ่มกว่าปกติ และให้กลิ่นหอมติดเสื้อผ้าแล้ว อีกคุณสมบัติหนึ่งของน้ำยาปรับผ้านุ่ม คือลดการอมน้ำในเนื้อผ้า จึงทำให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ สามารถเกาะติดเสื้อผ้าได้มากกว่าการซักด้วยผงซักฟอกเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ไวรัสโคโรน่าเท่านั้นที่ต้องระวัง พวกฝุ่น PM 2.5 ก็เสี่ยงต่อการติดบนเสื้อผ้าเหล่านี้ได้เช่นกัน การที่เราแบกฝุ่นและเชื้อโรคติดตัวไปแบบไม่รู้ตัวเช่นนี้ อาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ รวมถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น และหากมีใครมาสัมผัสตัวเรา ก็มีโอกาสที่เค้าจะได้รับเชื้อโรคไปเช่นกัน ซึ่งก็ถือเป็นการแพร่เชื้ออีกรูปแบบหนึ่งไปในตัว

ทิปส์การดูแลรักษาความสะอาดเพิ่มเติม

นอกเหนือไปจากการซักผ้าด้วย 7 วิธีเบื้องต้นแล้ว ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการซักผ้าและการดูแลรักษาความสะอาดเกี่ยวกับอุปกรณ์ของใช้ใกล้ตัวอีกมากมายที่จะช่วยลดการติดเชื้อ COVID-19 ได้ เช่น

1.ไม่สะบัดเสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งวัน

  • เนื่องจากมีหลายคนที่ชอบทำแบบนี้เพื่อไล่ฝุ่นที่เกาะตามเสื้อผ้า แต่หากเสื้อผ้าเหล่านี้มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ด้วย ก็อาจทำให้เชื้อไวรัสลอยขึ้นไปอยู่บนอากาศแทน

2.ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่ซักผ้า

  • คนที่ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ทุกครั้งที่เอาผ้าใส่เครื่องแล้ว ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสกับใบหน้า เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสเข้าสู่จมูก ปาก และลำคอ

3.ปรับอุณหภูมิของน้ำอย่างเหมาะสม

  • อย่าลืมปรับตั้งอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ในระดับ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป ก็จะช่วยกำจัดเชื้อโรคไปได้อีกส่วนหนึ่ง

การตากผ้า ซักผ้าช่วงโควิด

4.ทำความสะอาดอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ประจำ

  • ไม่ใช่แค่เสื้อผ้ากับเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่ต้องดูแล ของใช้ส่วนตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต คอมพิวเตอร์ ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องได้รับการทำความสะอาดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือที่ควรจะดูแลเป็นพิเศษ หมั่นเอามาทำความสะอาดทั้งหน้าจอและเคสด้วยน้ำเปล่า + สบู่ หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นตั้งแต่ 70% ขึ้นไป (ไม่ใช่แค่หน้าจอและเคสเท่านั้น) โดยควรเอาไม้จิ้มฟันพันกับสำลีจุ่มลงในแอลกอฮอล์มาเช็ดตามขอบร่อง รูสำหรับที่ชาร์จและหูฟังด้วย ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากคนเรามักจะหยิบมือถือมาเล่นในที่สาธารณะ ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสจะติดอยู่บนพื้นผิวอย่างเคสโทรศัพท์ หรือบนหน้าจอ หากเราเอาโทรศัพท์มาแนบหน้าเมื่อไร ก็มีโอกาสสูงที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายเราทันที

5.ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ

  • การที่เราเอามือจับหรือสัมผัสกับลูกบิดประตู รั้วบ้าน กุญแจหรือสิ่งของต่างๆ ที่มือเราอาจจะจับรวมกับผู้คนอื่นๆ แม้แต่คนในบ้านด้วยกันเองก็ตาม ในช่วงที่วิกฤตโควิดยังแพร่ระบาดอยู่อย่างทุกวันนี้ แนะนำให้หมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลอยู่เสมอๆ หากไม่สะดวกที่จะล้างด้วยน้ำสบู่ เพราะอย่างน้อยก็จะช่วยให้มือเราสะอาด ปราศจากเชื้อโรคได้มากยิ่งขึ้น คุณสามารถดูการล้างมือที่ถูกต้องได้ที่บทความ วิธีล้างมืออย่างถูกหลักอนามัย

ทริคการซักผ้าช่วงโควิด

ในยุคที่ไวรัสโคโรน่ายังคงเล่นงานต่อไปอยู่เช่นนี้ แนะนำให้ทุกคนหันมาใส่ใจดูแลตนเองด้วยการรักษาความสะอาดเบื้องต้นง่ายๆ นั่นก็คือ เรื่องของการซักผ้า และดูแลความสะอาดของอุปกรณ์ของใช้ใกล้ตัวร่วมด้วย อีกทั้งควรป้องกันเชื้อโรคด้วยการล้างมือให้สะอาดอยู่เป็นประจำ หรือหากไม่สะดวกล้างด้วยน้ำสบู่ก็ควรล้างด้วยเจล เพื่อให้สุขภาพร่างกายของเรา ห่างไกลจากเชื้อไวรัส Covid-19 นั่นเอง

Categories
LIFESTYLE

จัดโต๊ะทํางาน 2563 รวมไอเดีย จัดบ้านยังไง ให้น่าทำงาน เหมือนไป office จริง

จัดโต๊ะทํางาน 2563 รวมไอเดีย จัดบ้านยังไง ให้น่าทำงาน เหมือนไป office จริง

( จัดโต๊ะทํางาน 2563 รวมไอเดีย จัดบ้านยังไง ให้น่าทำงาน เหมือนไป office จริง )หลายๆ คนในเวลานี้เริ่มทำงานแบบ Work From Home กันมากขึ้น เนื่องด้วยสถานการณ์โรคระบาดของไวรัส Covid-19 ที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทำให้การอยู่บ้านปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนเริ่มออกมาบ่นว่าการทำงานที่บ้าน ยิ่งทำให้รู้สึกขี้เกียจและหมดไฟได้อย่างรวดเร็ว แต่หากคุณลองจัดบ้าน พร้อมเนรมิตห้องทำงานของคุณขึ้นใหม่ บอกเลยว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากขึ้นแน่นอน ซึ่งหากใครที่ยังคิดไอเดียจัดบ้านและโต๊ะทำงานไม่ออก วันนี้เราก็มีไอเดียการจัดตกแต่งมาฝากกันแล้วดังนี้ค่ะ

ไอเดียจัดโต๊ะทำงาน

7 ไอเดียจัดบ้านและโต๊ะทำงานให้เหมือนอยู่ออฟฟิศจริง

ตอนนี้เชื่อว่าหลายคน กำลังนั่งทำงานที่บ้านบนโต๊ะตัวเก่ง ตามนโยบาย Social Distance หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อช่วยป้องกันตัวเองจากโรคโควิด-19 แต่พอทำไปได้สักพักก็รู้สึกเบื่อ และอยากนอนมากกว่าทำงาน เป็นเพราะอยู่บ้านเราจะรู้สึกสบาย และเกิดความผ่อนคลายได้ตลอดเวลา ดังนั้นลองมาเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นออฟฟิศที่คุณทำงาน จะช่วยกระตุ้นและปลุกไฟการทำงานของคุณให้ลุกโชนได้ เพราะถ้ามัวแต่มานั่งขี้เกียจ อาจทำให้งานไม่เดิน เสี่ยงเจ้านายด่าอีกด้วย เราเลยมีไอเดียจัดโต๊ะทำงาน 2563 มาแนะนำกัน

1.จัดโต๊ะทำงานให้เป็นที่เฉพาะ

  • การทำงานที่บ้านอาจทำให้คุณแบ่งสัดส่วนได้ไม่ชัดเจน ส่งผลให้พื้นที่ทำงานของคุณดูไม่จริงจัง และกลมกลืนกับบ้านจนเกินไป ดังนั้นคุณลองแบ่งสัดส่วนพื้นที่การทำงาน เพื่อทำให้คุณรู้สึกเป็นเจ้าของ ลองตกแต่งด้วยภาพถ่ายของคุณเอง และใช้บอร์ดกั้นคล้ายกับโต๊ะทำงานในออฟฟิศ จะช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนมีอาณาเขต ส่งผลให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่หากกังวลว่าจะดูเคร่งเครียดมากเกินไป อาจเติมสีเขียวของต้นไม้ต้นเล็กๆ จะช่วยให้สบายตามากยิ่งขึ้น

2.จัดตำแหน่งโต๊ะทำงานให้เหมาะสม

  • การวางตำแหน่งของโต๊ะทำงานในห้อง ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะหากคุณวางผิดตำแหน่งจะส่งผลให้การทำงานของคุณไม่ราบรื่นแถมเต็มไปด้วยอุปสรรคได้ เช่น หากห้องของคุณมีหน้าต่างแล้วแสงเข้ามาเยอะมาก คุณควรตั้งโต๊ะทำงานให้ตั้งฉาก และทำให้แสงส่องเข้ามาด้านข้างของคุณ เพื่อทำให้คุณมีแสงสว่างอย่างพอดี และช่วยให้คุณได้รับแสงจากธรรมชาติเพื่อทำให้รู้สึกไม่เครียด หรือหากใครที่ไม่ชอบแสงแดด อาจใช้ผ้าม่านหรือมู่ลี่เป็นตัวกำหนดแสงได้

3.เพิ่มความเป็นตัวเองลงไป

  • เมื่ออยู่ที่ทำงานบริเวณโต๊ะทำงานของคุณ อาจเป็นแพทเทินเดียวกันกับเพื่อนร่วมงาน คุณอาจทำได้เพียงแค่วางกรอบรูป หรือติดรูปถ่ายไว้ตามมุม แต่หากคุณต้องทำงานอยู่บ้าน ลองเปลี่ยนโต๊ะทำงานของคุณให้เป็นสไตล์ของคุณเองมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำให้น่าเบื่ออีกต่อไป ลองแปะภาพถ่ายเยอะๆ หรือจะแปะโปสเตอร์ไอดอลที่ชอบ รวมไปถึงวางโมเดลการ์ตูนต่างๆ หรือใครที่ชอบงานประดิษฐ์อาจมีการเจาะแต่ง เพิ่มฟังก์ชันให้โต๊ะทำงานของคุณ กลายเป็นโต๊ะทำงานสุดสร้างสรรค์ที่แปลกและไม่เหมือนใคร

การจัดโต๊ะทำงาน WFH

4.เติมสีเขียวจากธรรมชาติ

  • นั่งจอคอมทำงานเป็นเวลานานก็อาจทำให้ตาล้าได้ แต่หากมีต้นไม้เล็กๆ ประดับไว้บนโต๊ะ จะช่วยให้การทำงานของคุณมีความผ่อนคลาย และสบายตามากขึ้น อีกทั้งมุมทำงานหากมีแต่สีเทา สีดำ สีขาว อาจทำให้บรรยากาศมีความตึงเครียด ลองหาไม้ประดับหรือต้นไม้ที่ดูแลง่าย มาวางไว้ข้างโต๊ะ จะช่วยทำให้คุณรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ แถมช่วยเติมไอเดียความคิดสร้างสรรค์ลงไปในงานได้อีกด้วย นอกจากนี้หากคุณต้องการพักสายตา เพียงหันไปมองที่ต้นไม้ จะช่วยให้คุณได้พักเติมพลังสักนิด ก่อนกลับไปลุยงานต่อ

5.เปลี่ยนมุมอื่นทำงานบ้าง

  • ในช่วงนี้คุณต้อง Work From Home เป็นเวลานาน อาจทำให้มุมโต๊ะทำงานน่าเบื่อได้ ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปทำงานที่ห้องนั่งเล่น หรือห้องนอนดูบ้าง อาจทำให้คุณคิดอะไรใหม่ๆ ออกมาได้ เช่น นั่งทำงานที่ห้องนั่งเล่นใกล้มุมหนังสือ จะช่วยทำให้คุณมีสมาธิและตั้งใจทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือใครที่อยากได้ความสนุก อาจทำไปด้วยเปิดเพลงฟังคลอๆ จะช่วยเพิ่มจินตนาการและปรับอารมณ์ให้กลับมาแจ่มใสได้ หรือวิธีการที่ง่ายกว่านั้นเพียงจัดบ้านใหม่ แอบทำมุมเล็กๆ ไว้ให้คุณคิดงานที่หน้าบ้าน หรือหลังบ้าน โดยใกล้ชิดกับต้นไม้ จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ระหว่างทำงาน

6.อุปกรณ์ต้องพร้อม

  • อยากจะทำงานให้ได้ประสิทธิภาพ อุปกรณ์ก็ต้องพร้อม สำหรับคนทำงานสายไอที ที่ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง ควรจัดตำแหน่งมุมทำงานให้เหมาะสม ทุกอุปกรณ์ต้องอยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อทำให้การทำงานราบรื่น หรือใครที่เป็นนักออกแบบ อาจต้องหาโต๊ะตัวใหญ่ เพื่อช่วยให้ออกแบบงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเห็นว่าการทำงานที่บ้านอุปกรณ์จะแตกต่างจากที่ออฟฟิศอย่างมาก ดังนั้นหากขาดอุปกรณ์ใด จะส่งผลให้การทำงานไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรคได้ ดังนั้นใครที่อุปกรณ์ไม่พร้อมอาจหาอุปกรณ์เสริม หรือยืมจากที่ทำงานชั่วคราว

covid จัดโต๊ะทำงาน

7.เลือกโต๊ะและเก้าอี้ที่ใช่

  • ในระหว่างการทำงานร่างกายของคุณจะสัมผัสโต๊ะมากถึง 80% ดังนั้นคุณควรให้ความสำคัญกับเก้าอี้ทำงานเป็นอันดับแรก ซึ่งเก้าอี้ทำงานที่ดีจะต้องมีพนักพิง และที่รองคอ แยกออกจากกัน ไม่เชื่อมติดกันทั้งหมด เพราะจะช่วยรองรับน้ำหนัก และป้องกันปัญหาออฟฟิศซินโดรมได้อย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้คุณนั่งทำงานได้ตลอดวัน นอกจากนี้โต๊ะทำงาน หากทำที่บ้าน อาจเลือกโต๊ะที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก หรือใครที่มีอยู่แล้วควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย เคลียของใช้ที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

8 ไอเท็มที่ควรมีประดับไว้บนโต๊ะทำงาน

เมื่อทราบถึงวิธีการจัดบ้านและโต๊ะทำงานแบบฉบับในปี 2563 ไปแล้ว สิ่งของประดับตกแต่งโต๊ะก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยเสริมบรรยากาศการทำงานให้น่าทำมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้ได้คุณพักสายตา และคลายความเมื่อยล้าได้อย่างดี สำหรับคนที่กำลังหาของตกแต่งโต๊ะทำงาน เรามีไอเท็มเจ๋งๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนโต๊ะทำงานธรรมดา ให้กลายเป็นโต๊ะทำงานที่ได้ประสิทธิภาพมาฝากกันแล้วดังนี้ค่ะ

1.หูฟัง / หูฟังไร้สาย

  • ไม่มีสิ่งใดจะกระตุ้นการทำงานไปได้ดีกว่าเสียงเพลง ถึงแม้บางคนอาจต้องการความเงียบเพื่อสมาธิในบางครั้ง แต่การทำงานของคนส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะเปิดเพลงฟังไปด้วยเวลาทำงาน แต่หากจะเปิดผ่านลำโพงก็อาจส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นได้ ทำให้หูฟัง คือไอเท่มสำคัญที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะนั่นเอง

2.กระดาษ Post it

  • กระดาษ Post-it คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ของคนทำงานเช่นกัน เพราะคนทำงานรุ่นใหม่มีนิสัยขี้ลืมอย่างมาก เนื่องจากต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การจดโน้ตลงสมุดบันทึกอาจไม่เพียงพอ ดังนั้นการใช้กระดาษโน้ต นอกจากแอพช่วยในการทำงานที่บ้านแล้ว การแปะไว้ตามจุดต่างๆ ของโต๊ะทำงาน จะช่วยให้คุณจดจำรายละเอียดการทำงาน หรือการนัดหมายวันส่งงานได้อย่างดีเยี่ยม และไม่พลาดที่จะลืมเรื่องสำคัญของการทำงานต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลิสต์สิ่งที่คุณต้องทำได้อีกด้วย

3.ชั้นจัดระเบียบของ

  • โต๊ะทำงานของสาวๆ หลายคนมักมีของกองอยู่จำนวนมาก ทั้งเอกสาร ของใช้ต่างๆ รวมถึงของที่ไม่ใช่แล้ว หากมีการจัดโต๊ะอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น จะช่วยเพิ่มพื้นที่ได้อย่างมาก และสิ่งที่จะช่วยให้คุณเก็บของต่างๆ ได้ง่ายขึ้น คือชั้นเก็บของที่จะสามารถแยกตามช่องได้ เช่น หากคุณต้องการจะเก็บของขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็มีสัดส่วนแบ่งไว้ชัดเจน หรือหากอยากเก็บเอกสาร ก็มีช่องแยกให้สอดเอกสารเก็บได้ ถือเป็นของที่รวมฟังก์ชันไว้มากมาย ใครที่รู้ตัวว่าโต๊ะไม่เป็นระเบียบ ควรซื้อมาใช้ด่วนๆ

จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ

4.กรอบรูปสร้างแรงบันดาลใจ

  • เชื่อว่าหลายคนมีแรงบันดาลใจในการทำงานต่างกัน บางคนมีความฝันที่อยากจะทำอาชีพนี้ อยากจะไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งใจ หรือบางคนมีครอบครัวเป็นแรงผลักดัน เพื่อให้ตั้งใจทำงานหาเงิน ซึ่งรูปภาพจะสามารถกำหนดแรงบันดาลใจของคุณได้ เพียงแค่คุณหากรอบรูปมาวาง หรือแขวนไว้ที่โต๊ะ อาจเป็นรูปคนรัก พ่อแม่ เพื่อน หรือไอดอล จะช่วยให้คุณสัมผัสได้ถึงพลังงานพิเศษที่จะผลักดันให้คุณทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมายได้นั่นเอง แถมยังช่วยเติมมุมทำงานของคุณให้มีความน่ารักมากขึ้นอีกด้วย

5.แจกันดอกไม้

  • ไม่มีอะไรจะช่วยบำบัดจิตใจได้ดีไปกว่าธรรมชาติ เมื่อคุณมีต้นไม้อยู่ในห้องทำงานแล้ว อย่าพลาดที่จะนำแจกันดอกไม้มาประดับไว้ที่โต๊ะ เพราะความงามจากสีสันของดอกไม้ จะช่วยสร้างบรรยากาศบนโต๊ะทำงานของคุณให้มีความสดชื่นและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แถมกลิ่นหอมของดอกไม้ยังทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และลุยงานได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าช่วงนี้ไม่สามารถออกไปซื้อดอกไม้สดได้ อาจหาดอกไม้ปลอมมาประดับไว้ชั่วคราว ช่วยให้คุณสบายตาได้เช่นกัน

6.โคมไฟตั้งโต๊ะ

  • หลายคนชอบทำงานจนหามรุ่งหามค่ำ โคมไฟตั้งโต๊ะ จึงเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับทุกคน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่างในตอนที่คุณทำงานได้อย่างดี อีกทั้งใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากแสงสีขาวเดิมๆ ไฟสีส้มจากโคมไฟ จะช่วยให้คุณเกิดความผ่อนคลายได้ แถมยังช่วยเพิ่มดีไซน์ให้โต๊ะทำงานของคุณดูน่าสนใจและน่าทำงานมากกว่าเดิม สำหรับใครที่ชอบทำงานดึก อย่าพลาดที่จะมีโคมไฟติดโต๊ะไว้ เพราะจะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้ง่ายยิ่งขึ้น

7.โมเดล / ตุ๊กตา ตั้งโต๊ะ

  • มาเพิ่มความน่ารักบนโต๊ะทำงานให้คุณด้วยโมเดลจากการ์ตูนเรื่องโปรด หรือสาวๆ อาจเป็นตุ๊กตานิ่มๆ สักหนึ่งตัว จะช่วยทำให้บรรยากาศบนโต๊ะทำงานของคุณผ่อนคลายและชวนให้น่าทำงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้คุณรู้สึกไม่เบื่อง่าย แถมใช้เวลาในช่วงที่คิดงานไม่ออก มานั่งจับโมเดล จัดตุ๊กตา หรือปรับแต่งให้เข้ากับพื้นที่ทำงานได้อย่างเพลิดเพลินแถมยังเป็นการโชว์ของสะสมของคุณอีกด้วย

8.ปฏิทินตั้งโต๊ะ

  • สำหรับสาวๆ สาย AE ปฏิทินตั้งโต๊ะ ถือเป็นของสำคัญ เพราะจะช่วยระบุตารางนัดหมายของลูกค้าหรือเจ้านายได้อย่างชัดเจน หรือสำหรับใครที่ต้องติดต่องานตลอดเวลา ปฏิทินตั้งโต๊ะ คือไอเท่มที่ต้องมีอย่างมาก

WFH

ข้อดีของการจัดบ้าน และจัดโต๊ะทำงานในช่วงโควิด-19

เป็นเรื่องปกติของคนทำงานในปัจจุบัน ที่มักทุ่มเวลาการทำงานอย่างมาก ทำให้การทำความสะอาดห้อง หรือการจัดห้องนั้น ถือเป็นเรื่องที่อาจทำนานๆ ครั้ง หรือใครที่รักความสะอาดหน่อยอาจจะอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทำให้ห้องนอนของคุณเต็มไปด้วยฝุ่นและเชื้อแบคทีเรีย และยิ่งใครที่ช่วงนี้ยังต้องออกไปทำงาน อาจนำเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับมาบ้านได้ ดังนั้นใครที่เริ่ม Work From Home ควรลุกขึ้นมาทำความสะอาดบ้าน ปรับแต่งโต๊ะทำงานให้น่าทำมากขึ้น ซึ่งข้อดีของการจัดบ้าน ก็มีดังนี้

1.สุขภาพดีขึ้น

  • ใครที่มีโรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว อาจทำให้ต้องมีการรักษาสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาอาจไม่เพียงพอ เพราะที่อยู่อาศัยหรือบ้านของคุณต้องสะอาดและปราศจากสิ่งที่กระตุ้นโรคได้ นอกจากนี้การจัดบ้านจะช่วยลดแบคทีเรียและกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างดี ลองคิดดูหากคุณปล่อยให้บ้านมีแต่ฝุ่น อาจส่งผลให้บ้านกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคต่างๆ ดังนั้นหาเวลาว่างสักหนึ่งชั่วโมงมาทำความสะอาดบ้านทุกซอกทุกมุม จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

2.เพิ่มพื้นที่การทำงานในบ้าน

  • เชื่อว่าหลายคน กำลังประสบปัญหานี้ เมื่อต้องอยู่บ้านและทำงานที่บ้านทุกวัน จะมองไปทางไหนก็รู้สึกว่าห้องของตัวเองคับแคบ ทำงานแล้วสมองไม่แล่น คุณควรลุกขึ้นไปจัดบ้านและเคลียของใช้ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นเก็บใส่กล่อง หรือนำขยะหรือเอกสารที่ไม่ใช่แล้ว นำไปทิ้ง เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ให้ห้องของคุณ จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสบายตา และมีพื้นที่ในการทำงานมากขึ้น เพียงเท่านี้คุณก็ลุยงานได้อย่างเต็มที่

3.ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • โต๊ะทำงาน คือพื้นที่สำหรับการทำงานอย่างแท้จริง แต่หากมองไปทางไหนก็เจอแต่กองเอกสาร หรือสิ่งที่ไม่จำเป็นต่างๆ มากมาย ก็อาจทำให้บรรยากาศการทำงานน่าเบื่อหน่ายได้ ดังนั้นลองทิ้งขยะและของที่ไม่จำเป็นบนโต๊ะทำงาน จะช่วยทำให้คุณรู้สึกโล่งและผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้การทำความสะอาดห้องทำงาน จะช่วยให้คุณอารมณ์ดี และไม่เครียดจนเกินไปได้ สำหรับใครที่ชอบเคร่งเครียดเวลาทำงาน ลองเปลี่ยนมุมโต๊ะทำงานใหม่ อาจทำให้อารมณ์ของคุณแจ่มใสมากกว่าเดิม

Workfromhome

4.ได้ออกกำลังกาย

  • แค่ขยับเท่ากับการออกกำลัง ดังนั้นแค่คุณลุกขึ้นมาจากที่นอน และทำความสะอาดบ้านแบบครั้งใหญ่ จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายไปในตัว อีกทั้งทำให้คุณได้บ้านใหม่ ห้องใหม่ ที่สะอาดและน่าอยู่มากกว่าเดิม ดังนั้นใครที่ขี้เกียจออกกำลังกาย ลองเปลี่ยนมาทำความสะอาดบ้าน จัดโต๊ะทำงานแทน ก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

สำหรับใครที่กำลังเบื่อในช่วง Work From Home ลองลุกขึ้นมาจัดบ้านและปรับแต่งโต๊ะทำงานตามเคล็ดลับที่เราได้บอกไป จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แถมยังมีกิจกรรมทำแก้เบื่อในช่วงโควิด-19 ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าการจัดบ้านเต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย นอกจากจะทำให้บ้านสะอาดแล้ว ยังช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายอีกด้วย

Categories
LIFESTYLE

ตกงาน ทำไงดี?! 5 ทางรอดของคนตกงานยุคโควิด-19

ตกงาน ทำไงดี?! 5 ทางรอดของคนตกงานยุคโควิด-19

( ตกงาน ทำไงดี?! 5 ทางรอดของคนตกงานยุคโควิด-19 )สถานการณ์ต่างๆ ในยุคนี้ถือว่าเป็นไปอย่างน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงจนทำให้เกิดภาวะการตกงานและว่างงานเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ทั้งเด็กจบใหม่และผู้ที่เป็นวัยทำงานต่างต้องเผชิญปัญหาเรื่องการหางานที่หาได้ยากขึ้นในทุกๆ วัน ทั้งยังต้องมาเผชิญกับสถานการณ์โควิด 19 โรคติดต่อร้ายแรงที่กำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ นอกจากไวรัสกับผลกระทบต่อชีวิตคู่แล้ว เรื่องงานก็เป็นปัญหาเช่นกันจึงทำให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องตกงานต้องวิตกกังวลกันมากกว่าเดิม ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาทางรอดในช่วงหลากหลายสถานการณ์ที่รุมเร้าอยู่ ลองมาอ่านบทความนี้เพื่อให้คุณได้มองเห็นทางรอดกันมากยิ่งขึ้น

คนตกงานช่วงโควิด

สถานการณ์โควิด-19 คืออะไร ทำไมถึงก่อผลกระทบกับคนทำงาน

สถานการณ์โควิด-19 คือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นการระบาดจากคนสู่คนอย่างรวดเร็ว ผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะการจาม การไอ และน้ำมูกที่ถือว่าเป็นสารคัดหลั่งอันตรายสามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ง่ายที่สุด โดยเชื้อนี้อยู่ในอากาศได้นานหลายนาทีและเกาะอยู่ตามพื้นผิวต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นวัสดุและอุปกรณ์ได้นานกว่า 8-12 ชั่วโมง และสามารถอยู่ในอากาศหนาวหรืออุณหภูมิติดลบได้นานถึง 1 เดือน เมื่อติดเชื้อโควิด-19 แล้วจะคล้ายเป็นไข้หวัดทั่วไปแต่อาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเชื้อไวรัสทำลายปอดและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มียารักษาและป้องกันโรคได้ เพียงแต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการ ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงและภูมิคุ้มกันที่ดีก็สามารถติดเชื้อได้ เพียงแต่จะหายเร็วกว่าและการรักษาจะง่ายกว่าอีกด้วย

สำหรับผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคปอด โรคหัวใจ หรือโรคร้ายแรงต่างๆ มาอยู่แล้ว รวมไปถึงผู้สูงอายุที่ติดเชื้อแล้วจะเสียชีวิตได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆ ซึ่งสถานการณ์นี้รุนแรงขึ้นเมื่อพบว่ามีผู้ติดเชื้อกระจายอยู่ทั่วโลกและในบางประเทศสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงมากจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนหลายพันคนในระยะเวลาที่รวดเร็ว จึงทำให้กลายเป็นสถานการณ์ที่คนทั่วโลกต่างหวาดกลัวกันเป็นอย่างมากและกลายมาเป็นผลกระทบใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต้องหยุดชะงักไปด้วย

สำหรับในประเทศไทยแล้วถือว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรงมากนัก แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดที่มากจนเกินไป ดังนั้น ทางภาครัฐจึงมีมาตรการป้องกันและรับมือที่ค่อนข้างเข้มงวด โดยขอความร่วมมือจากทั้งภาคเอกชนและประชาชนในการหยุดอยู่บ้านหรือการทำงานแบบ Work from home เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งหลายๆ คนก็อาจหากิจกรรมเมื่อ WFH ทำ แต่นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์เพื่อให้ใช้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือแอลกอฮอล์และเจลฆ่าเชื้อ รวมไปถึงการให้ความรู้ในเรื่องการป้องกันตัวเองจากเชื้อโควิดอยู่เสมอ และยังมีการรายงานผลของสถานการณ์ผู้ติดเชื้อเป็นประจำทุกวัน เพื่อลดความตึงเครียดและเป็นการสื่อสารกับประชาชนในประเทศให้ได้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์โควิด-19 พร้อมทำให้ทุกคนได้ตระหนักว่าสถานการณ์นี้จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีถ้าร่วมมือกัน

สิ่งที่ต้องทำ เมื่อตกงานในยุคโควิด-19

หลังจากต้องตรากตรำทำงานมานาน แต่อยู่ดีๆ กลับได้รับซองขาวจากทางบริษัทแล้วกลายเป็นคนตกงานแบบกะทันหัน สิ่งที่เกิดขึ้นคืออาจจะทำให้คุณรู้สึกสับสนและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครและไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปควรจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำเป็นเรื่องแรก คือ ตั้งสติให้ดีแล้วลองวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอนว่าหลังตกงานคุณควรทำอย่างไรต่อไป จึงขอแนะนำวิธีจัดการตัวเองหลังรู้ว่าตกงานดังต่อไปนี้

5 ทางรอดตกงานช่วงโควิด

1.สำรวจดูสิทธิ์ของตัวเอง

เรื่องแรกที่ควรทำ คือ การตรวจสอบสิทธิ์ของตัวเองกับทางบริษัท ลองตรวจดูว่าการตกงานครั้งนี้ของคุณเป็นไปตามเงื่อนไขใด ถ้าเป็นการถูกเลิกจ้างแบบกะทันหันคุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินค่าชดเชยการถูกเลิกจ้าง หรือถ้าบริษัทต้องปิดตัวลง คุณก็ต้องได้รับสิทธิ์เงินเยียวยาต่างๆ นอกจากนี้คุณยังสามารถทวงถามถึงกองทุนเงินสำรอง, เงินสะสม, เงินประกันสังคม และเงินชดเชยต่างๆ ที่คุณมีสิทธิ์ได้รับจากทางบริษัทอีกด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไป ยิ่งถ้าเป็นการโดนเลิกจ้างแบบคุณเองก็ตั้งตัวแทบไม่ทันคุณยิ่งต้องรักษาสิทธิ์ของตัวเองให้มาก ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียสิทธิ์ประโยชน์ของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย

2.รีบแจ้งประกันสังคม

เรื่องต่อมาที่คุณควรรีบทำเช่นกัน คือ การแจ้งไปยังประกันสังคม เพื่อทำให้คุณได้รับสิทธิ์ของประกันสังคมในเรื่องการว่างงานด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชดเชยรายเดือนและสิทธิประโยชน์ของภาครัฐในกรณีการว่างงาน ซึ่งเงินในส่วนที่คุณได้รับมานี้จะช่วยทำให้คุณยังสามารถใช้ชีวิตในช่วงที่รองานใหม่ได้อย่างไม่ยากลำบากมากนัก

3.จัดระเบียบความคิดและอารมณ์

หลังต้องออกจากงาน คนส่วนใหญ่มักจะเกิดความรู้สึกวิตกกังวลสูง มีความเครียด และรู้สึกสับสน รวมไปถึงความท้อแท้และสิ้นหวัง ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำ คือ การจัดระเบียบความคิดและอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ไม่ควรเสียใจหรือรู้สึกท้อแท้มากจนเกินไป ที่สำคัญคือไม่ควรตำหนิทั้งตัวเองและคนรอบข้าง อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกเสียใจต่างๆ มากเกินเหตุ เพราะอาจจะทำให้คุณกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ ทางที่ดีที่สุดคือดำเนินการทั้งเรื่องการเรียกร้องสิทธิ์ของคุณกับบริษัทและจัดการเรื่องประกันสังคมให้เรียบร้อย จากนั้นให้คุณพักสมองอยู่บ้าน, ดูซีรีส์เพื่อความผ่อนคลาย, ออกกำลังกาย, หางานอดิเรกทำอย่างเพลิดเพลิน หรือนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการชาร์จพลังงานก่อนเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไป

5 ทางรอดของคนตกงานยุคโควิด-19

สำหรับผู้ที่ต้องตกงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 คุณอาจจะกำลังรู้สึกเครียดมากขึ้น เพราะคุณต้องเผชิญปัญหาแบบคูณ 2 นอกจากจะต้องตกงานในช่วงที่งานหายากแล้ว ยังต้องเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจ จึงอาจทำให้การหางานของคุณยากมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นลองดูหาทางรอดของคนตกงานยุคโควิด-19 ดังนี้

1.ลงทะเบียนรับสิทธิ์ทดแทนว่างงาน

เมื่อรู้ว่าตกงานคุณต้องรีบไปลงทะเบียนผู้ว่างงานกับทางประกันสังคม เพื่อทำเรื่องรับเงินชดเชยแบบรายเดือน ในส่วนนี้คุณต้องรีบทำทันทีเพราะระยะเวลาของการลงทะเบียนและการดำเนินการต่างๆ จะมีเพียงแค่ 30 วันหลังจากที่คุณตกงาน  ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องแรกที่คุณจะต้องดำเนินการก่อนเรื่องอื่นๆ โดยให้คุณดูว่ามีการจ่ายเงินประกันสังคมเกินกว่า 6 เดือนหรือไม่ เพราะถ้าต่ำกว่าจะไม่สามารถรับเงินในส่วนนี้ได้ ที่สำคัญคือคุณต้องดูด้วยว่าการตกงานของคุณนั้นเป็นไปด้วยความผิดตามกฎหมายหรือไม่

ถ้าผิดก็ไม่สามารถรับเงินส่วนนี้ได้และคุณจะต้องมีการไปรายงานตัวกับทางเจ้าหน้าที่จัดหางาน 1 ครั้งต่อเดือนเป็นขั้นต่ำ จากนั้นคุณจึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงานและได้รับเงินชดเชยการว่างงานในกรณีที่คุณถูกเลิกจ้างเป็นระยะเวลากว่า 180 วัน ด้วยอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่คุณได้ และจะคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำที่คุณจ่ายมาในทุกๆ เดือน โดยจะอยู่ที่เดือนละ 1,650 บาท และฐานของเงินสมทบจะสูงสุดที่ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ซึ่งทางประกันสังคมจะจ่ายกลับคืนให้สูงสุดที่ไม่เกินเดือนละ 7,500 บาท

คนตกงานสูงขึ้น ช่วงโควิด

แต่ถ้าเป็นกรณีที่คุณลาออกเองหรือมีการสิ้นสุดสัญญาว่าจ้าง คุณจะได้รับเงินทดแทนที่ไม่เกินไปกว่า 90 วัน ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างที่คุณได้รับ  ส่วนการลงทะเบียนนั้นคุณสามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ การไปลงทะเบียนเองที่ประกันสังคมใกล้บ้านคุณและการลงทะเบียนผ่านรูปแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ www.sso.go.th จากนั้นทำการกรอกแบบฟอร์มเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณกดรับรองและยืนยันข้อความพร้อมกด submit อีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าจบขั้นตอนของการลงทะเบียนรับเงินผู้ว่างงานที่ถือว่าง่ายดาย สะดวก และรวดเร็ว

2.ติดตามโครงการต่างๆ ของรัฐ

ช่วงสถานการณ์โควิด ภาครัฐมีการคิดทำโครงการต่างๆ ที่จะประกาศออกมาเพื่อรองรับต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ในหลายรูปแบบ ดังนั้นให้คุณติดตามโครงการรัฐที่จะประกาศออกมาอยู่เสมอ เพื่อทำให้คุณได้รับเงินช่วยเหลือที่อาจจะช่วยต่อชีวิตของคุณในช่วงตกงานได้มากขึ้น

3.เลือกงานที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ช่วงที่คุณต้องการหางานใหม่ให้คุณลองเลือกงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดไม่มากนัก เช่น งานที่สามารถทำได้ที่บ้าน โดยให้คุณดูประกาศรับงานที่เน้นการทำงานแบบ Work from home มีการประชุมผ่านโปรแกรมแชทต่างๆ  และมีการติดต่อกันผ่านโปรแกรมแชททั้งหมด เพื่อทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานน้อยที่สุดและไม่ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย

4.หารายได้เสริมไปก่อน

ถ้าคุณยังหางานหลักไม่ได้ ให้คุณลองหารายได้เสริมทำไปก่อน เพราะอย่างน้อยยังเป็นการหารายได้แบบเล็กๆ น้อยๆ เข้ากระเป๋าและจะทำให้คุณรู้สึกไม่เครียดมากจนเกินไปอีกด้วย โดยให้คุณเลือกงานที่ไม่ต้องลงทุนมากหรือใช้ความสามารถที่คุณมีเป็นหลัก เช่น การแปลงานเขียนและเอกสารต่างประเทศ, งานสอนพิเศษเด็กหรือสอนงานที่คุณทำอยู่, งานพาร์ทไทม์ต่างๆ หรือรับเป็นงานกราฟิกแบบ Freelance เป็นต้น ซึ่งงานเหล่านี้คุณสามารถหาทำได้ง่าย แม้ว่าจะไม่ใช่งานหลักแต่ก็ถือว่ายังสร้างรายได้และถ้าคุณทำแล้วเกิดรุ่ง คุณก็อาจจะได้อาชีพใหม่ที่สร้างรายได้งดงามมากกว่างานหลักอีกด้วย

5 ทางรอดของคนตกงานยุคโควิด-19

5.จัดระเบียบการเงิน

เรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาด! เมื่อคุณเริ่มตกงานคุณต้องจัดระเบียบทางการเงินให้ดีที่สุด ถ้าคุณยังมีหนี้สินอยู่ คุณต้องคำนวณดูว่าเงินที่คุณเหลืออยู่นั้นสามารถจ่ายหนี้สินได้มากสุดที่จำนวนเท่าไหร่ โดยเงินในจำนวนนี้จะต้องไม่เบียดเบียนเงินใช้จ่ายประจำวันมากเกินไป ถ้าเงินใช้หนี้มีไม่พอคุณควรติดต่อกับทางเจ้าหนี้ทันทีเพื่อทำการประนอมหนี้  ให้คุณระบุอย่างชัดเจนว่าตัวเองกำลังตกงานและยังไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้

โดยอาจจะขอให้ทางเจ้าหนี้พักหนี้ไว้ก่อนหรือผ่อนชำระในจำนวนที่น้อยลง และยืดเวลาออกไปให้มากขึ้นจนกว่าคุณจะได้งานใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ รายจ่ายพิเศษหรือรายจ่ายสิ้นเปลืองอื่นๆ ควรตัดออกและถ้ายังใช้บัตรเครดิตอยู่ให้คุณยกเลิกบริการทันที วิธีเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตในช่วงตกงานได้อย่างไม่รู้สึกกังวลมากเกินไป ทั้งยังทำให้ทางเจ้าหนี้หรือธนาคารได้เห็นถึงความรับผิดชอบที่แม้จะตกงาน แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจที่ต้องการจะชำระหนี้ต่อไปอีกด้วย

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องตกงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 คุณสามารถนำความรู้จากภายในบทความนี้ไปใช้กับการแก้ไขปัญหาเรื่องการว่างงานของคุณได้ เพื่อที่คุณจะได้มีทางออกที่ดีและไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลมากจนเกินไป เพราะแม้จะตกงานในช่วงวิกฤตนี้ แต่เชื่อว่าในวิกฤตก็อาจจะยังมีโอกาสอะไรดีๆ แฝงอยู่เสมอ เช่น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณได้มีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น ในส่วนของรายได้เสริมก็อาจจะหาทำงานพิเศษผ่านทางออนไลน์ตามสไตล์ที่ถนัดไปก่อน เชื่อว่าไม่นานคุณจะต้องก้าวข้ามสถานการณ์โควิด 19 นี้ไปได้อย่างแน่นอนค่ะ

Categories
BEAUTY LIFESTYLE

5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน!

5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน!

( 5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน! )สกินแคร์ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงผิวหน้าและผิวกาย โดยจะมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้เพื่อให้เหมาะสมต่อปัญหาผิวของแต่ละคน สำหรับผลิตภัณฑ์สกินแคร์นั้นยังมีแตกออกมาเป็นหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อครีม, เนื้อเจล, เนื้อเซรั่ม, เนื้อเอสเซนส์ และเนื้อโลชั่น เป็นต้น ซึ่งในแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้ดีและยังมีความสำคัญต่อการบำรุงผิวของทั้งผู้หญิงและผู้ชายเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานย่อมต้องเลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสม เพื่อให้ผิวสวยที่ดูอ่อนเยาว์และไร้ปัญหายังคงอยู่กับคุณได้ยาวนาน

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เครื่องล้างหน้า ยี่ห้อไหนดี 5 ตัว ดีต่อผิว ช่วยลดสิว และริ้วรอย  

สกินแคร์ที่ต้องทาแม้อยูบ้าน

ช่วงกักตัว หรือทำงานอยู่บ้าน จำเป็นต้องใช้สกินแคร์หรือไม่

เมื่อต้องกักตัวและทำงานอยู่บ้าน ผู้หญิงหลายคนเกิดความสงสัยว่าจำเป็นต้องใช้สกินแคร์หรือไม่ ซึ่งคำตอบ คือ จำเป็นต้องใช้อย่างแน่นอน เพราะผิวไม่สามารถขาดการดูแลได้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ออกไปเผชิญมลภาวะกับแสงแดดนอกบ้าน แต่ภายในบ้านเองยังคงมีฝุ่นละอองและมีแสงไฟที่สามารถทำร้ายผิวของคุณได้ตลอดเวลา เพียงแต่จะลดความรุนแรงลงกว่าการออกไปเจอมลภาวะกับแสงแดดนอกบ้าน

ดังนั้น การใช้สกินแคร์เพื่อปกป้อง ฟื้นฟู และบำรุงผิว จึงถือว่ายังคงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกขั้นตอนการบำรุงผิวจึงถือว่ามีความสำคัญและยังคงต้องทำตามขั้นตอนเดิม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น รวมไปถึงการทาครีมกันแดดก็ยังคงมีความสำคัญอยู่เสมอเช่นกัน แม้จะไม่ได้ออกจากบ้านแต่คุณก็ยังต้องเผชิญกับแสงไฟภายในบ้านที่มีค่า UV เช่นเดียวกับแสงแดด ทางเลือกที่ดีที่สุดที่คุณจะดูแลผิวได้ คือ การใช้สกินแคร์ให้ครบทุกขั้นตอนที่คุณเคยทำเหมือนกับการออกไปทำงานนอกบ้านทั้งหมดนั่นเอง

5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้ไม่ออกจากบ้านก็ต้องใช้!

การทาสกินแคร์นั้นถือว่ามีความสำคัญต่อผิวของคนในยุคนี้เป็นอย่างมาก โดยสกินแคร์จะมีแยกออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เพื่อทำให้สามารถดูแลและบำรุงผิวได้อย่างครอบคลุม มีแยกออกเป็นกลุ่มทำความสะอาดผิว, กลุ่มบำรุงผิว, กลุ่มฟื้นฟูผิว และกลุ่มปกป้องผิว ซึ่งในแต่ละกลุ่มนั้นจะมีความสำคัญต่อผิวของทั้งผู้หญิงและผู้ชายเป็นอย่างมาก แต่ก็ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อผิว พร้อมไปด้วยการศึกษาดูว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่างๆ นั้นมีแตกยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใดบ้าง และผลิตภัณฑ์ใดที่คุณจำเป็นต้องใช้พิเศษหรือไม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันและรักษาฝ้ากับกระ เป็นต้น  แต่ถ้าเป็นสกินแคร์ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมใช้ พร้อมวิเคราะห์มาแล้วว่ามีความจำเป็นต่อผิวอย่างมากจะมีดังต่อไปนี้

1.โทนเนอร์

  • ผลิตภัณฑ์สำหรับเตรียมผิวและสร้างความสมดุลให้กับน้ำหล่อเลี้ยงผิวก่อนการลงครีมบำรุงต่างๆ ทั้งยังเป็นตัวช่วยทำความสะอาดขั้นตอนสุดท้ายหลังการล้างหน้า คือ “โทนเนอร์” ที่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ยอดนิยมของผู้หญิงยุคนี้  โดยเฉพาะสาวเกาหลีจะนิยมใช้โทนเนอร์กันเป็นจำนวนมาก ทั้งยังนำโทนเนอร์มาเป็นส่วนสำคัญของการมาส์กหน้าอีกด้วย สูตรโทนเนอร์ในปัจจุบันจึงถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นสูตรทำความสะอาดไปพร้อมความเย็นสบายของผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้น้ำสมดุลผิวคืนกลับมาและเป็นการเตรียมผิวเพื่อให้สามารถรับสารบำรุงต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าปกติเป็นเท่าตัว ดังนั้นโทนเนอร์จึงถือว่าเป็นสกินแคร์ตัวสำคัญที่มีความจำเป็นต่อผิวของคนยุคนี้เป็นอย่างมาก

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เทียนหอม ยี่ห้อไหนดี 10 ยี่ห้อ สดชื่น ผ่อนคลาย

อยู่บ้านสกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา2.เซรั่ม/เอสเซ้นส์บำรุงผิว

  • เซรั่มหรือเอสเซนส์เพื่อบำรุงผิวจะเป็นขั้นตอนต่อมาจากการเช็ดหรือมาส์กด้วยโทนเนอร์ เพราะเนื้อเซรั่มกับเนื้อเอสเซนส์จะบางเบาจนสามารถซึมซาบลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ขั้นตอนนี้จะช่วยจัดการปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความหมองคล้ำ, ปัญหาสิว, ผิวไม่สม่ำเสมอ, ฝ้า, กระ หรือจุดด่างดำต่างๆ เพราะผลิตภัณฑ์เนื้อเซรั่มกับเนื้อเอสเซ้นส์นั้นจะลงลึกเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ทั้งยังมีการผสมสารบำรุงและฟื้นฟูต่างๆ ลงในเนื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูงอีกด้วย

3.ครีมบำรุงผิว

  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มาในรูปแบบเนื้อครีมจะเหมาะสำหรับการทาตบท้ายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการลงผลิตภัณฑ์บำรุงช่วงเช้าหรือช่วงก่อนนอน เนื้อครีมจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ช่วยเคลือบผิว พร้อมให้ความชุ่มชื้นที่ดีเยี่ยม เป็นการทำให้ผิวมีความนุ่มเนียนและกลับมาสมดุลอีกครั้ง โดยเนื้อครีมรุ่นใหม่จะถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานได้อย่างไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการอุดตัน ควรเลือกใช้เป็นลักษณะของครีมน้ำนม, ครีมที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์จากสารสกัดธรรมชาติ และครีมบำรุงสำหรับผิวแพ้ง่าย เพื่อทำให้ได้รับการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและสามารถเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิวได้อย่างปลอดภัย

4.ผลิตภัณฑ์รักษาสิว

  • สำหรับผลิตภัณฑ์รักษาสิวจะเป็นผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิวต่างๆ และจุดด่างดำที่เกิดจากสิวโดยเฉพาะ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องสิวคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นสิวผดผื่น, สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ สิ่งที่คุณควรทำคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวตั้งแต่ขั้นตอนการล้างหน้าไปจนถึงขั้นตอนการบำรุงผิว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าขาวใสและผลิตภัณฑ์บำรุงชนิดอื่นๆ เพื่อทำให้การรักษาสิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคนไทยแล้วผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะผิวของคนไทยจะเสี่ยงต่อการเป็นสิวได้ง่าย เนื่องจากอากาศที่มีความร้อนชื้นและคนไทยมักจะมีผิวมันกับผิวผสมเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงการต้องเผชิญมลภาวะที่หนักหน่วงมากขึ้นทุกวันและแสงแดดกับรังสี UV ที่เข้มข้นขึ้น จึงทำให้ผิวถูกทำลายและเป็นสิวได้ง่าย

อยู่บ้านทาครีมกันแดด

5.ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

  • ผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันแสงแดดทั้งผิวหน้าและผิวกาย ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญต่อผู้คนยุคนี้เป็นอย่างมาก  เนื่องจากความร้อนของแสงแดดและรังสี UVA กับ UVB มีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน จึงทำให้ผิวต้องเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจนเกิดอักเสบบวมแดงจากความร้อนของแสงแดดได้ทุกวัน รวมไปถึงรังสี UV ทั้งสองชนิดทำให้ผิวหมองคล้ำ ก่อให้เกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ รวมไปถึงก่อให้เกิดสิวได้ง่าย ดังนั้นผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันแสงแดดจึงมีความจำเป็นต่อผิวของคนไทยเป็นอย่างมาก ควรเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบสูตรบางเบา แต่ให้ความเข้มข้นในการป้องกันแสงแดด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาเรื่องการอุดตันและทำให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่

6 เคล็ดลับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบบเห็นผลชัดเจนของสาวเกาหลี

สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ให้ได้ผลดี คุณควรมีเคล็ดลับเพื่อให้คุณได้ประโยชน์จากสกินแคร์ที่คุณใช้อยู่อย่างเต็มที่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงขอแนะนำ 6 เคล็ดลับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของสาวเกาหลีที่ช่วยทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นผลได้ชัดในระยะเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น คือ

1.เน้นความสะอาด

  • สาวเกาหลีจะเน้นเรื่องความสะอาดเป็นหลัก ไม่ว่าจะแต่งหน้าแบบจัดเต็มหรือแต่งหน้าเพียงบางเบาก็จะเน้นเรื่องความสะอาดเพื่อลดปัญหาผิวต่างๆ ตามมา และสาวเกาหลียังเชื่อว่าการทาครีมบำรุงบนผิวที่ยังสกปรกอยู่นั้นจะสร้างปัญหาผิวที่เรื้อรังและเป็นปัญหาที่ค่อนข้างน่ากลัว ดังนั้นก่อนการล้างหน้าจึงจะมีการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเช็ดทำความสะอาดอย่าง Cleansing สูตรน้ำมัน เพื่อทำให้การเช็ดเครื่องสำอางไม่ทำให้ผิวแห้งตึงมากจนเกินไป เมื่อเช็ดผิวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะตามมาด้วยครีมโฟมหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ให้ความนุ่มนวลและสามารถดึงความสกปรกออกจากผิวได้หมดจด เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะตามด้วยการเช็ดโทนเนอร์อีก 1 ครั้ง เพื่อเป็นการทำให้ผิวเกิดความสะอาดอย่างสูงสุด

มากส์โทนเนอร์

2.มาส์กโทนเนอร์ทุกวัน

  • การมาส์กหน้าด้วยโทนเนอร์ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญของชาวเกาหลี เพราะจะนิยมใช้สำลีชุบโทนเนอร์เพื่อมาส์กหน้าทุกวันในช่วงเย็น ซึ่งสาวเกาหลีจะถือว่าการมาส์กโทนเนอร์เป็นตัวช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เกิดความสมดุลและช่วยทำให้ผิวรับครีมบำรุงต่างๆ ได้ดีมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำให้การมาส์กด้วยโทนเนอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มของสาวเกาหลีที่มีผิวใสและดูสุขภาพดี

3.ความชุ่มชื้นต้องมีเสมอ

  • อีกหนึ่งความสำคัญของการดูแลผิวที่สาวเกาหลีนิยมมาก คือ การทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นแบบฉ่ำน้ำ หรือที่เรียกกันว่าผิวดิวอี้ ให้ความชุ่มชื้นจนผิวใสคล้ายกระจก หลังจากการมาส์กโทนเนอร์แล้วจึงจะต่อด้วยขั้นตอนของการทาครีมบำรุงผิวที่เน้นในเรื่องของการเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิว ให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่ก่อให้เกิดความมัน ทำให้ผิวดูฟูและอิ่มน้ำมากขึ้น โดยจะใช้ทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น แต่จะเน้นใช้หลากหลายผลิตภัณฑ์ในช่วงก่อนนอน รวมไปถึงการใช้มาส์กหน้าแบบไม่ต้องล้างออกเพื่อทำให้ผิวเกิดการฟื้นฟูอย่างเต็มที่

4.ตบผลิตภัณฑ์ลงผิว

  • ทุกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่คุณใช้อยู่ ควรใช้ปลายนิ้วกลางและนิ้วนางในการตบผลิตภัณฑ์ทุกตัวลงผิวแบบเบาๆ แม้กระทั่งการมาส์กหน้า เมื่อทำการมาส์กเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ตบเนื้อเซรั่มหรือเอสเซ้นส์มาส์กลงผิวเบาๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือดบนใบหน้าทำงานได้ดีขึ้นและยังช่วยทำให้ผิวรับสารบำรุงได้ง่าย รวดเร็ว และล้ำลึกกว่าเดิม

5.ใช้เวลากับการดูแลผิวให้มาก

  • สาวเกาหลีจะเน้นใช้วิธีการดูแลผิวหน้าและผิวกายด้วยเวลาที่ค่อนข้างมาก ดังนั้นวันหยุดของสาวเกาหลีจึงเต็มไปด้วย ขั้นตอนการดูแลผิวในทุกสัดส่วน เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียน สว่างกระจ่างใส และเป็นผิวสุขภาพดีไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการมาส์กผิวหน้า ผิวกาย หรือแม้กระทั่งมือกับเท้า ส่วนการทำความสะอาดจะมีตั้งแต่การนวดน้ำมันบนผิวหน้าและผิวกาย จากนั้นจะล้างออกด้วยครีมโฟมหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมต่อผิว พร้อมการทำสครับผิว เพื่อขจัดคราบสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างหมดจดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแช่น้ำนมกับน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ เพิ่มเติมอีกด้วย เรียกได้ว่าสาวเกาหลีจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการดูแลตัวเองโดยเฉพาะ

เช็ดโทนเนอร์

6.ผิวสวยด้วยน้ำมันสกัด

  • เคล็ดลับความเงาและดูเป็นผิวสุขภาพดีของสาวเกาหลี คือ การเน้นใช้น้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ที่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากดอกทานตะวัน, น้ำมันอัลมอนด์, น้ำมันละหุ่ง, น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันจากดอกไม้ต่างๆ ที่จะช่วยทำให้ผิวมีความเงางาม ทั้งยังช่วยเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิวได้มากขึ้นอีกด้วย

การดูแลผิวด้วยสกินแคร์จะช่วยยืดอายุของผิวคุณให้ยังคงเป็นผิวสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ นอกจากความสวยงามของผิวพรรณแล้ว การดูแลผิวด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสมยังช่วยลดสารพัดปัญหาผิวที่จะตามมาในอนาคตและยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวเกิดปัญหาผื่นแพ้หรือปัญหาหนักหน่วงอย่างมะเร็งผิวหนังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

Categories
LIFESTYLE

ล้างมือบ่อยๆ สำคัญอย่างไร

ล้างมือบ่อยๆ สำคัญอย่างไร

( ล้างมือบ่อยๆ สำคัญอย่างไร )ในช่วงวัยเด็ก มักจะมีการรณรงค์ให้เด็กทุกคนล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะจะช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ จึงทำให้หลายคนปลูกฝังค่านิยมรักสะอาดนี้มาตั้งแต่เด็ก กระทั่งปฏิบัติตามจนติดเป็นนิสัย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายคนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคง่ายมากนั่นเอง หากไม่เช็ดทำความสะอาดเป็นประจำ โอกาสในการติดเชื้อก็ย่อมมีสูง ดังนั้นลองมาดูกันว่าการล้างมือบ่อยๆ สำคัญอย่างไรต่อชีวิตคุณ

ล้างมือบ่อยๆสำคัญอย่างไร

การล้างมือบ่อยๆ สำคัญอย่างไร

ภายในหนึ่งวันที่คุณออกไปทำงาน มือของคุณล้วนสัมผัสสิ่งต่างๆ มากมาย และคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ไปสัมผัสเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกอะไรมาบ้าง และหากเผลอมาจับที่บริเวณใบหน้า หรือสัมผัสอาหาร ก็อาจทำให้คุณได้รับเชื้อโดยที่ไม่รู้ตัว และวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ “การล้างมือ”  ซึ่งข้อดีของการล้างมือบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจากสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณ ดังนี้

1.ป้องกันโรคติดต่อ

ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ในสหรัฐอเมริกา บอกว่า “ไม่มีวิธีการใดที่จะป้องกันเชื้อโรคได้ดีกว่าวิธีล้างมือ” เพราะเชื้อโรคอยู่รอบตัวคุณ และปัจจุบันมีโรคร้ายที่ติดต่อกันได้ง่าย เกิดขึ้นมากมาย ทั้งโรคซาร์, ไข้หวัดใหญ่, โรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ ฯลฯ ซึ่งหากคุณหมั่นล้างมืออยู่เสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคได้ เพราะมือเป็นอวัยวะสำคัญที่สามารถนำพาเชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกายได้มากที่สุด อีกทั้งมือยังมีความชื้นตลอดเวลา อาจทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ ดังนั้นการล้างมืออย่างถูกต้องนาน 20 วินาทีย่อมช่วยลดแบคทีเรียได้ถึง 90% แน่นอน

2.ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีกว่าไวรัสโคโรน่าสามารถติดต่อทางสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว หากคุณไปพื้นที่เสี่ยงหรือมีโอกาสได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาจมีความเสี่ยงที่สูงถึง 70% ที่คุณจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ แม้ว่าคุณจะมีเครื่องมือป้องกันที่พร้อมอย่าง หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 100% โดยสิ่งที่คุณต้องระวังให้ดี คือการสัมผัสร่างกายและการสัมผัสต่อเชื้อไวรัสที่อาจอยู่รอบตัวเรา ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุด จึงหนีไม่พ้น การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงต้อใช้วิธีล้างผลไม้ปลอดภัยจากเชื้อโรคด้วยและหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณใบหน้าในช่วงนี้

3.ลดการเกิดสิว หรือผิวหนังอักเสบบริเวณใบหน้าได้

การเกิดสิวบนใบหน้ามีหลายสาเหตุ บางคนที่เป็นสิวหนักๆ อาจเกิดการฮอร์โมนหรือพันธุธรรม แต่รู้หรือไม่ หากมือคุณสกปรกแล้วมาจับที่ใบหน้า ก็ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน เพราะมือเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค หากคุณบีบสิวโดยที่ไม่ล้างมือ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปอาศัยภายในร่างกาย และทำให้เกิดสิวขึ้นอีกมากมาย หรือบางคนมีนิสัยชอบแคะ แกะ เกา ก็ส่งผลให้เชื้อโรคเข้าร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดก่อนจับที่บริเวณใบหน้า และตัดเล็บให้สะอาด เพราะเล็บถือเป็นจุดที่รวมเชื้อโรคเช่นกัน

การล้างมือบ่อยๆ

ล้างฝ่ามือด้วยสบู่ vs ล้างด้วยแอลกอฮอล์ แบบไหนฆ่าเชื้อโรคดีกว่ากัน

ในเวลานี้การล้างมือเป็นวิธีการป้องกันที่ทางแพทย์แนะนำมากที่สุด เพราะเชื้อไวรัสโคโรน่าสามารถลอยอยู่บนอากาศได้นานถึง 3 ชั่วโมง และสภาพแวดล้อมภายนอกยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่คุณจะติดเชื้อได้มากมาย ถึงแม้คุณจะใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 100% เพราะการป้องกันที่ดี เริ่มต้นจากการลดการสัมผัส และหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ พร้อมกับศึกษาการซักผ้าช่วงไวรัสระบาดด้วย แต่หลายๆ คนอาจเกิดคำถามว่าการล้างมือด้วยสบู่ กับการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล แบบไหนมีประสิทธิภาพกว่ากัน เราเลยจะพาคุณไปไขข้อสงสัยในประเด็นนี้

1.การล้างฝ่ามือด้วยสบู่

การล้างมือที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกที่สุด คือการล้างด้วยสบู่ธรรมดา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา ได้เผยว่าการล้างมือด้วยสบู่จะช่วยกำจัดและฆ่าเชื้อไวรัสออกจากมือได้อย่างรวดเร็ว เพราะสบู่มีคุณสมบัติที่สามารถแยกโปรตีนและไขมันออกจากกันได้ ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้ไวรัสโคโรน่า

เมื่อคุณนำสบู่มาล้างมือจะสามารถแยกโปรตีนและไขมัน เพื่อเปิดทางให้สบู่เข้าไปฆ่าเชื้อโรคอย่างง่ายดาย แต่การล้างมือจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ต่อเมื่อคุณใช้เวลาในการล้าง 20 วินาทีขึ้นไป เพราะจะช่วยกำจัดเชื้อโรคตามจุดซอกซอนต่างๆ ของนิ้วมืออย่างละเอียด และช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคได้ถึง 90%

2.การล้างด้วยแอลกอฮอล์

เมื่อต้องออกไปข้างนอกในช่วงนี้ หลายคนต้องการทำความสะอาดมือจากการสัมผัสของใช้สาธารณะภายในทันที แอลกอฮอล์ล้างมือ 70% จึงตอบโจทย์มากที่สุด เพราะฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้โดยไม่ต้องล้างน้ำ อีกทั้งยังพกพาสะดวก มีทั้งชนิดเจล หรือสเปรย์ ที่สามารถช่วยให้มือของคุณสะอาดง่ายในพริบตา โดยแทบไม่ต้องพึ่งสบู่

แต่การที่เจลล้างมือ จะกำจัดเชื้อโรคได้นั้น ต้องมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่พอดีไม่มากหรือน้อยเกินไป อยู่ที่ 70% เพราะหากน้อยกว่านั้นประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจะลดลงอย่างมาก แต่หากมากเกินไปจะทำให้แอลกอฮอล์ระเหยได้อย่างรวดเร็ว ส่วนข้อจำกัดในการใช้คือมือต้องแห้ง ไม่มีเหงื่อหรือเปียกน้ำ ไม่เช่นนั้นแอลกอฮอล์จะไม่สามารถเข้าไปฆ่าเชื้อโรคได้อย่างเต็มที่ อาจทำให้มือของคุณไม่สะอาดได้อย่างที่คิด

ล้างมือด้วยเจล

ข้อสรุปของการล้างมือด้วยสบู่และแอลกอฮอล์เจล

หากมองถึงประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 การล้างมือด้วยสบู่และน้ำ คือวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด แต่หากคุณต้องออกจากบ้านหรือไม่มีห้องน้ำให้ล้างมือ การพกพาแอลกอฮอล์เจลล้างมือที่มีความเข้มข้น 70% จะช่วยป้องกันเชื้อโรคให้คุณในเวลานั้นได้ และที่สำคัญอย่าลืมว่าเจลแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งหมด รวมถึงไม่สามารถล้างสารเคมีบางอย่างได้ คุณจึงต้องเลือกใช้วิธีการล้างมือให้เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีของคุณ

ขั้นตอนการล้างมืออย่างถูกต้อง

เมื่อทุกคนทราบกันแล้วว่าการล้างมือด้วยน้ำสบู่ จะช่วยป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นลองมาเรียนรู้ 7 วิธีการล้างมือที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้คุณป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่านี้กัน

1.เปิดน้ำแล้วเริ่มจากการถูฝ่ามือ

เริ่มแรกล้างด้วยน้ำสะอาด จากนั้นกดสบู่แล้วใช้ฝ่ามือถูฝ่ามือไปมา ฟอกจนสบู่ขึ้นฟอง จากนั้นนำฝ่ามือทั้งสองข้างประกบและขัดถูให้ทั่วมือ

2.ฟอกจนถึงหลังมือ

จากฝ่ามือที่ถูกประกบกันทั้งสองกัน ให้เปลี่ยนไปถูที่หลังมือ ใช้ฝ่ามือถูหลังมืออย่างละเอียด ตามซอกนิ้วต่างๆ ให้ครบทั้ง 5 นิ้ว เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณหลังมือ

ล้างมือด้วยสบู่

3.ประกบฝ่ามือถูซอกนิ้ว

โดยการใช้มือทั้งสองข้างมาประกบกัน ล้างมือด้วยน้ำสบู่อีกครั้ง ถูตามซอกนิ้วให้สะอาดหมดจด

4.กำเป็นกำปั้นหนึ่งข้างแล้วใช้ฝ่ามือขัดหลังนิ้ว

เมื่อขัดซอกนิ้วเสร็จให้คุณกำมือเป็นกำปั้นหนึ่งข้าง แล้วใช้ฝ่ามือของอีกข้างถูบริเวณหลังนิ้วจนรู้สึกว่าสะอาด จึงสลับอีกข้าง

5.ถูนิ้วหัวแม่โป้ง

ต่อไปคือส่วนสำคัญ นิ้วโป้ง คือนิ้วที่สะสมไวรัสมากที่สุด เพราะใช้ในการหยิบจับ และเล่นโทรศัพท์มือถือ วิธีทำความสะอาด กางนิ้วโป้งแยกออกมา แล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างกำรอบนิ้ว ใช้มือหมุนฟองสบู่เป็นวงกลม ทำจนสะอาด จากนั้นทำอีกข้าง

6.ขัดฝ่ามือด้วยปลายนิ้ว

ให้คุณแบมือออกหนึ่งข้าง แล้วใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างถูด้วยฟองสบู่ตามแนวขวาง ถูให้สะอาด จากนั้นสลับข้างแล้วทำต่อกัน

7.กำข้อมือฆ่าไวรัส

ท่าสุดท้ายให้คุณกำข้อมือข้างหนึ่ง คล้ายท่าดูนาฬิกา ถูวนให้สะอาดขัดข้อมือให้เรียบร้อย จากนั้นเปลี่ยนข้างแล้วทำแบบเดียวกันจนเสร็จ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเป็นอันเรียบร้อย

ฝากคำแนะนำในการล้างมืออีกรอบ! การล้างมือจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อคุณใช้เวลาในการล้าง 20 วินาทีถึงขึ้นไป จะช่วยฆ่าเชื้อและป้องกันไว้รัสได้มากถึง 90% ดังนั้นหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอจะดีที่สุด

ข้อควรระวังในการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์

การล้างมือด้วยสบู่อาจทำได้ที่บ้าน หรือห้องน้ำ แต่สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปทำงานทุกวัน ยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากเชื้อไวรัสได้ และแอลกอฮอล์เจลล้างมือ คือสิ่งที่ช่วยป้องกันพวกเขาได้มากที่สุด แต่หากคุณใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 70% บ่อยเกินไป อาจส่งผลเสียต่อผิวหนังของคุณได้ ดังนั้นคุณต้องทราบถึงข้อควรระวังในการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

1.ไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ล้างมือที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า 70%

แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า 70% จะทำให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อลดลงได้ และอาจทำให้การป้องกันและยับยั้งเชื้อไวรัสเป็นไปได้ยาก ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการใช้ ในส่วนที่แอลกอฮอล์มากกว่า 70% ก็ส่งผลเสียเช่นกัน เพราะทำให้เกิดการระเหยและทำร้ายผิวได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง

ล้างมือด้วยเจลแอลกฮอล์

2.ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง

สำหรับคนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย การใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% เป็นประจำ ส่งผลให้ผิวเกิดการระคายเคือง และทำให้มีปัญหาโรคผิวหนังตามมาได้ ดังนั้นควรเลือกใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้และกลีเซอลีน จะช่วยปกป้องผิวและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างดี

3.ไม่ควรใช้ขณะมือเปียก

การใช้เจลล้างมือในขณะที่มือเปียก หรือมีความชื้น จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเจลล้างมือลดลง และไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้ ดังนั้นควรใช้เวลามือแห้ง หรือสัมผัสสิ่งสกปรกมา

4.เจลล้างมือไม่สามารถล้างสารเคมีได้

แอลกอฮอล์เจลล้างมือ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้เท่านั้น ไม่สามารถล้างสิ่งตกค้างอย่างสารเคมีบางชนิดได้ เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก รวมถึงเชื้อโรคบางชนิด ดังนั้นเลือกใช้เจลล้างมือให้เหมาะสม จะช่วยป้องกันคุณจะเชื้อโรคต่างๆ ได้

การล้างมือสำคัญ

ถึงแม้สถานการณ์โควิด-19 จะยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นในเร็ววัน แต่ทุกคนสามารถลุกขึ้นมาป้องกันตัวเอง และทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อน้อยที่สุด โดยการเก็บตัวอยู่บ้าน หรือเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ไม่ออกไปพื้นที่เสี่ยง และหมั่นล้างมือบ่อยๆ จะช่วยป้องกันเชื้อไวรัส แบคทีเรียต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากจะถามว่าวิธีไหนป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้น “การล้างมือบ่อยๆ” อย่างแน่นอน

Categories
LIFESTYLE

ทำงานอยู่บ้าน ทำอะไรดี? 10 วิธีอยู่ในบ้าน เมื่อต้อง work from home

ทำงานอยู่บ้าน ทำอะไรดี? 10 วิธีอยู่ในบ้าน เมื่อต้อง work from home

( ทำงานอยู่บ้าน ทำอะไรดี? 10 วิธีอยู่ในบ้าน เมื่อต้อง work from home ) มนุษย์ออฟฟิศหลายคนในตอนนี้ กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ หลายๆ บริษัทต้องปิดตัวลง องค์กรไหนที่ปรับตัวทันก็เริ่มให้พนักงานทุกคน work From Home ทำให้การทำงานที่บ้านในเวลานี้ ถือเป็นเทรนด์ยอดฮิต และมีหลายๆ คนเริ่มออกมาหากิจกรรมใหม่ๆ ทำ เพราะไม่สามารถออกไปไหนได้ สำหรับใครที่อยากจะหากิจกรรมทำคลายเหงา หรือหางานอดิเรกที่ช่วยเพิ่มรายได้ เรามี 10 กิจกรรมแก้เบื่อโควิด-19 มาฝากกัน รับรองความเบื่อของคุณจะหายไปอย่างแน่นอนค่ะ

WFH

Work from home คืออะไร ทำงานรูปแบบไหน?

เทรนด์การทำงานที่มาแรงที่สุดในเวลานี้ ต้องยกให้การ “Work from home” หรือที่หลายคนย่อว่า “WFH” เป็นรูปแบบการทำงานที่แปลความหมายได้ตรงตัว คือการ “ทำงานที่บ้าน” โดยใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันที่มีความทันสมัยและเชื่อมต่อกันได้สะดวกรวดเร็ว เช่น แอพช่วยให้การทำงานที่บ้านง่ายขึ้น ทำให้ผู้คนสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ที่ทำงานร่วมกันแต่สามารถวิดีโอคอลเห็นหน้าเพื่อสื่อสารได้อย่างทันที อีกทั้งยังมีต้นทุนการทำงานที่ต่ำ เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ชอบความเป็นอิสระในการทำงาน แถมประสิทธิภาพในการทำงานยังไม่ลดลง ทำให้หลายๆ บริษัทในเวลานี้ ปรับตัวมา “Work from home” กันมากขึ้น เพราะทุกคนล้วนมีสมาร์ตโฟน,โน้ตบุ๊ค,คอมพิวเตอร์ จึงช่วยให้การทำงานที่บ้านสะดวกยิ่งขึ้น

Work from home ช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 ได้จริงหรือไม่

การที่หลายๆ บริษัทปรับตัวมาทำงานในรูปแบบของ “Work from home” กันมากขึ้น เพราะสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในทุกวัน ศูนย์การแพทย์จึงมีการรณรงค์ให้คนอยู่ในบ้านกันมากขึ้น อันเนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 3 ชั่วโมง รวมทั้งยังมีจุดที่สะสมไวรัสตามสถานที่ต่างๆ มากมาย ซึ่งยิ่งทำให้ผู้คนเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคได้ง่ายมากขึ้น เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู และปุ่มลิฟท์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีคนที่เป็นพาหะคอยแพร่กระจายเชื้อโรคได้อีกด้วย ทำให้การอยู่บ้าน คือทางออกที่ดีที่สุดและยังสามารถช่วยควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายไปสู่วงกว้างได้อย่างมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการ “Work from home” จะทำให้ผู้คนหันมารับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกที่หลายคนจะชอบการทำงานที่บ้าน เพราะจะทำให้ตัวเองปลอดภัยจากโรคระบาดได้ค่อนข้างสูงนั่นเอง

Workfromhome

10 กิจกรรมแก้เบื่อ เมื่อต้องทำงานแบบ “Work from home”

หลายคนที่ปรับรูปแบบการทำงาน มาทำที่บ้านกันมากขึ้น อาจประสบปัญหาภาวะหมดไฟ รู้สึกว่าการทำงานไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเก่า แถมยังรู้สึกเบื่อ เพราะไม่รู้จะทำอะไรดี อีกทั้งยังไม่สามารถออกไปไหนได้ เพราะกลัวจะติดไวรัสโคโรน่า ทำให้การอยู่บ้านจากที่เคยรู้สึกสบาย กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย และรู้สึกขี้เกียจตลอดทั้งวัน สำหรับใครที่อยากหากิจกรรมทำแก้เหงา แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี เรามี 10 กิจกรรมสนุกๆ ที่ช่วยให้การอยู่บ้านของคุณไม่น่าเบื่ออีกต่อไป มาแนะนำกัน

1.ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี

  • คนทำงานรุ่นใหม่ ชอบมีพฤติกรรมที่ทุ่มให้กับงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว การดูแลตัวเองหรือการออกกำลังกายแทบจะลืมไปได้เลย เพราะเวลา 24 ชั่วโมง เสียให้กับการทำงานไปแล้ว 12 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อคุณได้ทำงานที่บ้าน ลองหาเวลาว่างจากงานลุกขึ้นมาออกกำลังกาย 30-45 นาที คุณผู้ชายอาจเล่นเวทเทรนนิ่ง สร้างกล้ามเนื้อปั้นหุ่นสวยๆ ได้ ส่วนคุณผู้หญิง อาจกายบริหารเบาๆ หรือจะเต้นก็ช่วยเบิร์นไขมันได้อย่างดีเยี่ยม อย่าปล่อยให้หุ่นดีๆ ของคุณต้องพังไปพร้อมโควิด-19 ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี สร้างภูมิต้านทานโรค และทำให้สุขภาพจิตสดชื่น

2.อ่านหนังสือ

  • ไม่มีสิ่งใดจะพัฒนาความรู้ได้ดีกว่า “การอ่านหนังสือ” เมื่อคุณรู้สึกเบื่อจากการทำงาน ต้องการมุมผ่อนคลาย เพียงหยิบหนังสือที่คุณอาจจะซื้อมาดองไว้เป็นเวลานาน ไม่มีโอกาสได้หยิบมาอ่านสักที ถึงเวลาที่คุณจะได้เริ่มอ่านมันบ้างแล้ว เพราะการอ่านหนังสือจะช่วยให้หัวสมองคุณรู้สึกผ่อนคลาย และได้ฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ แต่ขอแนะนำให้คุณอ่านหนังสือที่สบายๆ เนื้อหาไม่ได้หนักจนเกินไป บางคนชอบอ่านหนังสือการ์ตูน เพื่อช่วยเสริมสร้างจินตนาการ หรือบางคนชอบอ่านหนังสือพัฒนาทักษะ เพื่อฝึกให้คุณมีความสามารถหลายด้าน จะเลือกอ่านแบบไหนก็ช่วยให้คุณรู้สึกเพลิดเพลินได้

3.จัดโต๊ะทำงานใหม่

  • เมื่อต้องทำงานแบบ “Work from home” สิ่งหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้คุณได้ คือโต๊ะทำงาน ดังนั้นลองเปลี่ยนจากนั่งทำงานบนที่นอน หรือโต๊ะกินข้าว มาจัดโต๊ะทำงานเสมือนอยู่ที่ทำงานจริง วางของใช้ของจำเป็นไว้รอบตัว สร้างบรรยากาศด้วยต้นไม้รอบๆ หรือจะตกแต่งให้โต๊ะเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ นอกจากนี้ลองเติมไอเท่มน่ารักๆ อย่างโปสเตอร์ที่ชอบ ภาพไอดอลในการทำงาน หรือคำคมในการใช้ชีวิต จะช่วยปลุกไฟในการทำงานของคุณกลับมาลุกโชนได้ อีกทั้งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้คุณคิดและจินตนาการ แถมได้ลงมือทำจริง ไม่รู้สึกเบื่ออีกด้วย คุณสามารถหาไอเดียเพิ่มเติมได้ที่ รวมไอเดียจัดโต๊ะทำงาน

work-from-home-covid

4.ฝึกทำอาหารและขนม

  • ทุกคนล้วนมีความสามารถซ่อนอยู่ในตัวโดยที่คุณอาจไม่เคยรู้! และสกิลการทำอาหาร อาจเป็นสิ่งที่คุณทำได้ดี เพราะมีหลายคนที่ชอบดูคลิปสอนการทำอาหาร หรือเวลาว่างก็ทำอาหารทานเอง ลองอัพสกิลของคุณโดยการเริ่มทำเมนูยากๆ หรือเปลี่ยนไปทำขนมดูบ้าง จะช่วยให้คุณรู้สึกไม่เบื่อ ลองเปิดดูสูตรใหม่ และฝึกทำตาม คุณอาจเอาไปให้เพื่อน หรือคนในครอบครัวชิม ไม่แน่ว่าถ้าทุกคนบอกอร่อย คุณสามารถทำธุรกิจขายอาหารหรือขนมเพิ่มได้ ช่วยให้คุณได้เงินมาเก็บจากธุรกิจเสริม ในช่วงภาวะวิกฤติแบบนี้ หาเงินทางไหนเพิ่มได้ ให้รีบหาไว้ก่อนดีที่สุด

5.ชมภาพยนตร์หรือซีรีส์สุดเพลิน

  • นั่งทำงานอยู่บ้านทั้งวันอาจรู้สึกเบื่อได้ ยิ่งถ้าใครต้องโดนกักตัว 14 วัน ยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องหาอะไรทำแก้เบื่อ ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกเหงาและขี้เกียจอย่างมาก และกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ชอบทำยามว่าง คือ “การชมภาพยนตร์” ลองหยิบหนังเรื่องโปรดของคุณกลับมาดูซ้ำอีกรอบ จะช่วยคืนความรู้สึกและบรรยากาศเก่าๆ ของคุณกลับคืนมา คุณจะรู้สึกดีและมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่หากใครเป็นสายซีรีส์ อาจหาซีรีส์สนุกๆ ที่กำลังดังในเวลานี้มาดู เพื่อให้คุณมีกิจกรรมที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะติดซีรีส์จนลืมไปว่ากำลังถูกกักตัวไม่ให้ออกจากบ้าน

6.ทำความสะอาดบ้าน Big Cleaning Day

  • ไม่ว่าคุณจะเป็นสายหอ สายคอนโด หรือสายอยู่บ้าน เชื่อว่าคุณต้องห่างหายจากการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่มานานแล้วแน่นอน ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่คุณจะเริ่มจัดบ้านทีละจุด และเริ่มเก็บของที่วางอยู่เกินสองเดือนแล้วไม่ได้ใช้ ให้นำไปทิ้งหรือเก็บให้เข้าที่ เคลียของเก่าที่ไม่จำเป็นในบ้าน จะช่วยเพิ่มพื้นที่ได้มากขึ้น อีกทั้งเริ่มทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เช็ด กวาด ปัด ถู ตามส่วนต่างๆ ในบ้าน เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคหรือฝุ่นที่อาจทำลายสุขภาพของคุณได้ แถมเป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณได้ออกกำลังกาย และช่วยเบิร์นแคลอรีได้อย่างดี

7.หางานเสริมเพิ่มรายได้

  • เมื่อไวรัสโคโรน่าระบาด หลายคนเริ่มประสบปัญหาการเงิน เพราะบางที่ทำงานสั่งปรับลดเงินเดือน หรือบางคนรายได้กลับน้อยลง ทำให้อยู่บ้านก็เกิดความรู้สึกเครียดและกังวล ดังนั้นลองหารายได้เสริม ด้วยการมองว่าจุดแข็งของเรา คืออะไร เช่น คุณอาจเก่งในเรื่องของการครีเอทีฟ แต่สามารถตัดต่อวิดีโอได้ คุณอาจรับงานฟรีแลนส์เพิ่มที่เกี่ยวกับงานตัดต่อวิดีโอ และสามารถทำอยู่บ้านได้ จะช่วยให้คุณมีรายได้เพิ่ม หรือใครที่มีสิ่งที่ชอบทำ อย่างเช่น คุณชอบทำขนมเค้กที่บ้าน อาจลองทำขนมเค้กขายออนไลน์ จะช่วยทำให้คุณรู้สึกไม่เหงา และผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้

covid-wfh

8.เล่นดนตรี

  • เสียงเพลงและเสียงของดนตรี สามารถบำบัดจิตและช่วยให้คุณมีอารมณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น ใครที่มีอารมณ์สุนทรีย์ ลองใช้เวลาว่างที่บ้าน หยิบเครื่องดนตรีที่ฝุ่นเริ่มเกาะมาเล่น เช่น กีตาร์ เปียโน หรือกลอง และลองอัดคลิป Cover เพลงต่างๆ จะช่วยให้คุณรู้สึกไม่เหงาและเกิดความสนุกได้ หรือใครที่ยังเล่นไม่เก่ง ก็สามารถใช้เวลาว่างช่วงนี้ เปิดคลิปการสอนการยูทูป และค่อยๆ ฝึกเล่นไป อาจทำให้คุณได้ทักษะการเล่นดนตรีเพิ่มเข้ามา และไม่แน่ว่าหากคุณอัดคลิปการเล่นดนตรีลงยูทูป อาจมีคนมาติดตามและชื่นชมในฝีมือของคุณได้ หรือใครที่ทำงานสายศิลป์อาจฟังเพลงไปด้วยทำงานไปด้วยก็ได้

9.ลองทำแมสก์ผ้าป้องกันไวรัส

  • สำหรับใครที่มีทักษะการเย็บ ปัก ถักร้อย ติดตัว ลองนำสกิลนั้นของคุณมาฝึกทำหน้ากากอนามัยแบบผ้า ที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินในการซื้อหน้ากากอนามัยที่ขายแพงเกินราคาอย่างมากตามท้องตลาด โดยดูคลิปการทำจากยูทูป และนำผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วลองมาเย็บเป็นแมสก์ดูก่อน เมื่อคุณฝึกจนชำนาญ อาจลองหาผ้าที่สามารถกรองเชื้อโรคได้ อย่าง ผ้าสาลู ผ้ามัสลิน มาลองตัดเย็บและเสริมลวดลายต่างๆ เข้าไป จะช่วยให้คุณคลายความเหงาได้อย่างดี และไม่แน่ว่าหากคุณทำจนคล่องแคล่ว อาจลองแจกหรือขายให้คนอื่น จะช่วยเพิ่มรายได้และกลายเป็นธุรกิจเสริมทันที

10.แมทซ์เสื้อผ้าแก้เหงา

  • ทำงานอยู่บ้าน หากคุณปล่อยตัวสบายๆ เรื่อยๆ เฉื่อยๆ อาจทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้คุณเบื่อหน่ายได้อย่างรวดเร็ว ลองเปลี่ยนพฤติกรรมและเปลี่ยนทุกวันให้กลายเป็นวันทำงาน ตื่นเช้ามาอาบน้ำ เลือกเสื้อผ้าที่คุณอยากใส่ ลองนำเสื้อยืดตัวโปรด มาแมทซ์กับกางเกงตัวใหม่ จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสนุก เพราะสีสันของเสื้อผ้าจะช่วยเสริมบรรยากาศให้การทำงานมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณสาวๆ อย่าลืมแต่งหน้าให้สวยฉ่ำ และแต่งตัวให้สวยเข้าไว้ เพราะคุณสามารถถ่ายรูปสวยๆ และอัพลงโซเชียลให้เพื่อนดูได้อย่างเก๋ๆ

ประโยชน์ของการ work from home

หลายคนเมื่อต้องทำงานแบบ work from home อาจรู้สึกเบื่อและมองว่าการทำงานอาจมีประสิทธิภาพน้อยลงได้ ถึงแม้การสื่อสารจะรวดเร็วมากขึ้น แต่หากไม่ได้คุยกันอย่างใกล้ชิด หรือเห็นงานอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้งานไม่เป็นไปตามเป้าหมายได้ แต่รู้หรือไม่! การทำงานที่บ้าน ได้แฝงประโยชน์และคำนึงถึงสุขภาพของคุณไว้มากมาย ดังนั้นลองมาดูข้อดีของการ work from home กันเถอะ

1.ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส

  • สถานการณ์ของโควิด-19 มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปจุดไหนก็เกิดความเสี่ยงในการติดโรคระบาดนี้ได้ทุกคน ทำให้การอยู่บ้านเป็นทางออกที่ดีที่สุด ลองคิดดูว่าหากที่ทำงานของคุณไม่ปรับให้เป็นแบบ work from home คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสนี้ได้ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ดังนั้นการทำงานที่บ้านจะช่วยลดความเสี่ยง และป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างดีที่สุด

2.ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

  • ข้อนี้น่าจะถูกใจใครหลายคน เพราะการเดินทางไปทำงาน คือภาระค่าใช้จ่ายที่คุณต้องเสียทุกวัน หากคุณลองคำนวณดูดีๆ จะเห็นได้ว่า 30% ของเงินเดือนหมดไปกับค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าเดินทางต่างๆ แต่หากคุณได้ทำงานที่บ้าน จะช่วยประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้ และทำให้คุณมีเงินเก็บมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยประหยัดค่าอาหารระหว่างวันเมื่อต้องไปทำงานได้ เพราะอยู่บ้านคุณสามารถทำอาหารทานเองได้ ดังนั้นการ work from home จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าคุณอย่างแน่นอน

ทำงาน WFH

3.เติมความรักความอบอุ่นในครอบครัว

  • หลายคนทำงานจนไม่มีเวลาให้คนในครอบครัว เพราะต้องทุ่มเวลาให้กับการทำงานหนัก เพื่อที่จะหาเงินมาเลี้ยงดูและใช้จ่ายในครอบครัว ทำให้ช่วงที่ต้องทำงานอยู่บ้าน และทุกคนกักตัวอยู่บ้านหมด คุณจะมีเวลาดูแลครอบครัวมากยิ่งขึ้น ได้กระชับความสัมพันธ์ ภรรยาอาจทำกับข้าวให้คนในบ้านทาน สามีอาจปรับปรุงและดูแลส่วนต่างๆ ของบ้านที่พังหรือเสียหาย อีกทั้งได้ใช้เวลาว่างร่วมกับลูกๆ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ช่วยเติมเต็มความสุขและความอบอุ่นให้ครอบครัว

4.มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น

  • ก่อนจะเกิดการระบาดของโควิด-19 หลายคนประสบปัญหาไม่มีเวลาว่างในการใส่ใจหรือดูแลตัวเองมากนัก เพราะทุ่มเวลาให้กับงานจนหมด เมื่อโรคระบาดได้เกิดขึ้น หลายคนได้มีเวลาว่าง และหันมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองมากขึ้น หลายๆ คนเริ่มออกกำลังกายดูแลสุขภาพให้แข็งแรง อ่านหนังสือพัฒนาความรู้ต่างๆ บางคนใช้เวลาในการทำสิ่งที่รัก เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต ดังนั้นเมื่อคุณมีเวลาว่าง อย่าลืมที่จะหาสิ่งดีๆ ให้ตัวเองทำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตให้สดใสตลอดเวลา ดังนั้นช่วงนี้ก็รักตัวเองและดูแลตัวเองให้มากๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้ามารุกรานได้

สำหรับคนที่ต้องทำงานแบบ work from home และรู้สึกเบื่อหน่าย อย่าลืมลองไปทำตาม 10 กิจกรรมที่เราแนะนำจะช่วยให้คุณคลายความเหงา และแก้เบื่อในช่วงโควิด-19 ได้อย่างดี และอย่าลืมที่จะปฏิบัติตัวเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยการอยู่บ้านไม่ออกไปรับเชื้อ หรือแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากนี้ลองมองหาสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่บ้าน จะทำให้คุณมีความสุขกับช่วงเวลานี้ได้

 

Categories
LIFESTYLE PEOPLE & RELATIONSHIP

ไวรัสโคโรน่า กับ 5 ไอเท็มที่สาวๆ ควรพกไว้ใช้ลดความเสี่ยงเมื่ออยู่นอกบ้าน

ไวรัสโคโรน่า กับ 5 ไอเท็มที่ควรพก ไว้ใช้ลดความเสี่ยงเมื่ออยู่นอกบ้าน

( ไวรัสโคโรน่า กับ 5 ไอเท็มที่ควรพก ไว้ใช้ลดความเสี่ยงเมื่ออยู่นอกบ้าน ) เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้วที่ไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19 ได้เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย และทำให้พฤติกรรมและนิสัยของคนไทยต้องเปลี่ยนไป หลายคนหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะโรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยง่าย หากใครที่ไม่ระวังอาจพลาดติดไวรัสโคโรน่าได้ สำหรับสาวๆ คนไหนที่ต้องออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน และยังคงกังวลเรื่องความปลอดภัยจากสภาพแวดล้อม เรามี 5 ไอเท็มที่สาวๆ ควรพกติดตัวไว้ป้องกันโรค มาบอกกันแล้วดังนี้ค่ะ

ไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19 คืออะไร

ไวรัสโคโรน่า หรือชื่อที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า Covid-19 เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นจากสัตว์ก่อนติดสู่คน โดยเชื้อไวรัสโคโรน่า ปัจจุบันมีถึง 6 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญในเวลานี้ จัดเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ที่ยังไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน และดูท่าว่าจะเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดอีกด้วย

ไวรัสโควิด

โดยสถานการณ์การระบาดเริ่มขึ้นจากเมือง อู่ฮั่น ประเทศจีน นักวิชาการหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเกิดจากชาวจีนที่นิยมกินสัตว์แปลก อย่างค้างคาว และสัตว์ทะเลต่างๆ ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ และจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้างต่อไป

ไวรัส Covid-19 อันตรายแค่ไหน

ในส่วนของภาวะอันตรายนั้น ในผู้ที่ติดโรคนี้ส่วนใหญ่หากตรวจเจอเชื้อไวรัสได้เร็ว ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่มากนัก เนื่องจากแพทย์ยังคงช่วยทำการรักษาเพื่อยังยั้งเชื้อโรคไม่ให้ลุกลามได้ทัน แต่หากมาตรวจตอนที่อาการหนักแล้ว อาจเสี่ยงให้เกิดอันตรายหรือเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ดังนี้

1.ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

  • เมื่อคุณกลายเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย ไวรัสจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานอย่างไม่สมดุล ร่างกายจะเกิดการอักเสบที่ปอด หรือที่เรียกกันว่าปอดบวม โดยเกิดจากภาวะน้ำในปอดที่มากเกินไป ทำให้คุณเกิดอาการหายใจไม่สะดวก และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจจะทำให้เชื้อไวรัสค่อยๆ แพร่กระจายไปมากขึ้นเพื่อทำลายร่างกายเพิ่มขึ้นอีกได้ แต่นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว บางคนยังเชื่อว่าโคโรน่ากับผลกระทบต่อชีวิตคู่เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากๆ อีกด้วย

2.เสียชีวิต

  • หากผู้ป่วยที่ติดไวรัสโคโรน่าเป็นผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายที่ค่อนข้างต่ำ ร่างกายไม่แข็งแรง อาจทำให้การต่อสู้กับโรคร้ายนี้เป็นไปได้อย่างยากลำบาก และหากเชื้อทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าไปทำลายการทำงานของปอด ร่างกายก็จะค่อยๆ ถูกทำลาย ปอดเกิดการล้มเหลว และหัวใจหยุดการทำงานในที่สุด

สถาการณ์ช่วงโควิด

5 อาการหลักของไวรัสโคโรน่าที่คุณสังเกตด้วยตนเองได้

สำหรับคนที่มีความกังวลว่าตัวเองจะติดหรือไม่ อาจเป็นเพราะเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง หรือมีความใกล้ชิดกับผู้ป่วย รวมไปถึงคนทั่วไปที่เกิดอาการแพนิค และอยากเช็กอาการให้แน่ใจ ลองมาดูกันว่าอาการเบื้องต้นของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 จะมีอาการอะไรบ้าง

1.ไอ

  • เริ่มแรกของผู้ติดเชื้อจะมีอาการไอแห้ง รู้สึกเจ็บคอ และระคายคอตลอดเวลา จะมีอาการแบบนี้ อย่างน้อย 1 สัปดาห์และอาจมีปัญหาหายใจติดขัดร่วมด้วย

2.เจ็บคอ

  • อาการสำคัญของเชื้อไวรัสโคโรน่า คือการเจ็บคอ เพราะไวรัสจะทำให้หลอดลมอักเสบ เกิดการระคายคอ และมีอาการเจ็บคออย่างหนัก ใครที่มีอาการแบบนี้แล้วหายช้า หรือยังไม่หายสักที อาจเริ่มเข้าข่ายได้

3.มีไข้

  • แม้ว่าในช่วงแรกผู้ที่มีไข้ 37 – 38 ขึ้นไป จัดอยู่ในความเสี่ยงที่จะเป็นโรคโควิด-19ได้ แต่ตอนนี้คนที่มีไข้ต่ำๆ แต่มีอาการไอ และเจ็บคอร่วมด้วย ก็เกิดภาวะเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ ดังนั้นใครที่มีไข้ติดกันนานๆ สลับกับไข้ขึ้นและลง อาจเข้าข่ายได้เช่นกัน

มีอาการไอ โควิด

4.น้ำมูกไหล

  • เป็นอาการที่พบได้น้อย แต่เชื้อไวรัสก็ทำให้เกิดการจามและน้ำมูลไหลได้เช่นกัน อาจเป็นสัญญาณเตือนแรกๆ ของโรคโคโรน่าก็เป็นได้

5.หายใจเหนื่อยหอบ

  • สำหรับใครที่มีอาการข้างต้นเกือบทั้งหมด และมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจได้ไม่ทั่วท้อง หรือรู้สึกอัดช่วงหน้าอก ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะเชื้ออาจกำลังลุกลามเข้าปอดได้

8 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อโควิด (Covid-19)

เมื่อเช็กอาการเป็นที่เรียบร้อย หลายคนเริ่มเกิดความวิตกกังวล ไม่กล้าออกจากบ้าน และระวังตัวอย่างสุดขีด เพราะกลัวตัวเองจะไปติดเชื้อไวรัสและนำมาเป็นพาหะให้คนในบ้านได้ เพราะตอนนี้สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยจุดที่รวมเชื้อโรคต่างๆ ไว้มากมาย สำหรับคนที่ต้องออกไปทำงาน หรือสาวๆ ที่ต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน ลองมาดูกันว่ามีปัจจัยเสี่ยงใดบ้าง ที่อาจทำให้คุณติดเชื้อโควิด-19 ได้ เพื่อเป็นประโยชน์และเป็นเคล็ดลับป้องกัน สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องออกไปข้างนอกทุกวัน

1.การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

  • หลายคนเริ่มทำงานแบบ Work From Home แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังต้องอาศัยขนส่งสาธารณะออกมาทำงานทุกวัน ทำให้คุณเกิดความเสี่ยงที่จะอยู่ใกล้กับผู้ติดเชื้อได้ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยคนที่ร่วมเดินทางกับเราเป็นใครมาจากไหน ดังนั้นทางป้องกัน คือคุณต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และยืนหรือนั่งเว้นระยะห่างจากผู้อื่นพอสมควร แต่หากให้ดีต้อง 1 เมตรขึ้นไป และควรพกเจลล้างมือเพื่อทำความสะอาดทันที หลังลงจากรถ

2.การซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า

  • แม้ว่าห้างสรรพสินค้าจะปิดบางส่วน แต่โซนซูเปอร์มาร์เก็ต และ โซนฟู้ดคอร์ด ยังเปิดตามปกติ ทำให้คนสามารถไปจับจ่ายซื้อของได้ และสิ่งที่คุณต้องระวังเป็นอันดับแรก คือรถเข็น ตะกร้า เพราะผ่านการใช้งานจากหลายคน อาจมีเชื้อไวรัสติดอยู่ได้ ทางที่ดีควรใส่ถุงมือใช้แล้วทิ้ง หรือใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% เช็ดทำความสะอาดก่อนหยิบใช้ หรือทางที่ดีกว่านั้น ควรเตรียมถุงผ้าหรือกระเป๋าผ้าไปเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคติดคุณกลับบ้านมาด้วยนั่นเอง

3.ลิฟต์ บันไดเลื่อน ราวบันได

  • ข้อนี้คือสิ่งสำคัญที่ทำให้คนติดเชื้อได้ง่ายที่สุด แต่ก็เป็นข้อที่คนละเลยอย่างมาก อาจด้วยความเคยชินและการปรับตัวที่ต้องใช้เวลา เมื่อคุณไปในที่สาธารณะ และต้องสัมผัสกับพื้นผิวที่มีความแข็งและมันวาว อย่าง ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะมีเชื้อไวรัสได้ เพราะเชื้อจะสามารถเกาะตัวบนสเตนเลสได้นานถึง 3 วัน ดังนั้นคุณต้องพกเจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป และหมั่นล้างมือบ่อยๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงการแคะแกะเกาบริเวณใบหน้าในช่วงนี้

เล่นโทรศัพท์

4.ผักและผลไม้สด

  • สำหรับสายสุขภาพอาจต้องระวังให้ดี เพราะเชื้ออาจมาพร้อมผักและผลไม้สดได้! โดยเชื้อไวรัสอาจติดจากผู้ที่ติดเชื้อ หรือผู้ที่สัมผัสผู้ป่วย มาจับที่ผักและผลไม้ อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายในบริเวณนั้นได้ ทางที่ดีคุณควรล้างผักและผลไม้ด้วยสบู่อ่อนๆ และล้างน้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อป้องกันสารตกค้าง สำหรับผลไม้ในช่วงนี้อาจเลือกกินผลไม้ที่มีเปลือก เพราะสามารถปอกเปลือกที่มีเชื้อโรคติดอยู่ออกได้ และที่สำคัญควรใช้ความร้อนในการปรุงอาหารเพื่อฆ่าเชื้อต่างๆ

5.โทรศัพท์มือถือ

  • ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ โทรศัพท์มือถือ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของใครหลายๆ คน เพราะต้องมีการใช้งานแทบจะตลอดเวลา ทำให้มีโอกาสที่คุณจะสัมผัสเชื้อไวรัสหรือเชื้อโรคต่างๆ และมาสัมผัสบริเวณหน้าจอโทรศัพท์ได้ ยิ่งใครที่ต้องออกจากบ้านทุกวัน ยิ่งมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นคุณควรพกผ้าเช็ดแอลกอฮอล์ และหมั่นทำความสะอาดหน้าจออย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้

6.การจ่ายเงิน

  • เงิน คือสิ่งที่คุณต้องใช้ในการดำเนินชีวิตทุกวัน เพราะเงินสดจะถูกสัมผัสจากใครหลายคนและหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันตลอดเวลา คุณจึงไม่มีทางทราบได้เลยว่าธนบัตรหรือเหรียญที่คุณใช้มีเชื้อไวรัสติดมาหรือไม่ ทางที่ดีคุณควรมีธุรกรรมออนไลน์ หรือใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิต ในการจ่ายเงินแทน จะช่วยให้คุณเกิดความเสี่ยงที่จะสัมผัสผู้อื่นน้อยกว่า แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรพกเจลล้างมือและหมั่นทำความสะอาดมือของคุณ หลังจากการรับหรือใช้จ่ายเงิน

5 ไอเท็มที่ควรพกไว้ใช้ลดความเสี่ยง เมื่ออยู่นอกบ้าน

หลายคนที่มีความจำเป็นต้องออกไปข้างนอกทุกวัน ซึ่งเมื่อได้ทราบถึงปัจจัยเสี่ยงและข้อระมัดระวังเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่ากันไปแล้ว อาจเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ง่ายขึ้น เพราะทุกวันนี้จะออกไปข้างนอกแต่ละทีต้องใส่ชุดเหมือนเตรียมพร้อมออกไปรบ ดังนั้นคนที่ต้องออกจากบ้านเป็นประจำ ควรมีการเตรียมความพร้อม โดยการพกพาสิ่งของป้องกันต่างๆ ลองมาดูกันว่าไอเท็มอะไรบ้างที่จะช่วยคุณให้รอดพ้นจากไวรัสโคโรน่านี้ได้

เจลล้างมือแอลกฮอล์

1.หน้ากากอนามัย / หน้ากากอนามัยแบบผ้า

  • เริ่มกันที่สิ่งแรกที่จะช่วยป้องกันคุณจากไวรัสโควิด-19 ได้เกือบ 99.99% คือหน้ากากอนามัย คุณควรสวมใส่ตลอดเวลาเมื่อต้องออกมาข้างนอก แต่ช่วงนี้หน้ากากอนามัยอยู่ในภาวะขาดแคลน หลายคนจึงเริ่มหันมาใส่หน้ากากผ้ามากขึ้น เพราะสามารถซักใส่ซ้ำได้ แถมประหยัดเงินอีกด้วย เนื่องจากเชื้อไวรัสอยู่รอบๆ ตัวคุณ ดังนั้นการใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงให้คุณได้ และยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้ออีกด้วย ดังนั้นอย่าลืมพกหน้ากากอนามัยติดตัวไว้ ปลอดภัยแน่นอน

2.แอลกอฮอล์เจลล้างมือ 70%

  • สำหรับสาวๆ ที่ต้องออกนอกบ้านเป็นประจำ นอกจากหน้ากากอนามัยแล้ว เจลล้างมือคือของจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะสภาพแวดล้อมคุณอาจเต็มไปด้วยไวรัส ยิ่งหากคุณเดินทางไปห้างสรรพสินค้า หรือที่สาธารณะ เจลล้างมือจะช่วยทำความสะอาดและฆ่าเชื้อไวรัสที่มือคุณได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ห่วงเรื่องความปลอดภัยและความสะอาด คุณสามารถใช้เจลล้างมือเช็ดทำความสะอาดในจุดต่างๆ เช่น ที่จับประตู รถ โทรศัพท์ หรือลูกบิดประตูได้อีกด้วย ถือเป็นไอเท่มสำคัญที่คุณสาวๆ ต้องมีติดตัวไว้

3.ทิชชูเปียกผสมแอลกอฮอล์ / สเปรย์แอลกอฮอล์

  • สำหรับสาวๆ ที่มองว่าเจลล้างมือเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อการป้องกัน ทิชชูเปียกผสมแอลกอฮอล์ 70% คือของที่คุณไม่ควรพลาด เพราะพกพาง่าย ใช้สะดวก แถมเอาไว้เช็ดฆ่าเชื้อจุดต่างๆ โดยเฉพาะ ไม่ต้องเปลืองเจลล้างมืออีกด้วย นอกจากนี้สเปรย์แอลกอฮอล์ ก็ช่วยให้คุณสะดวกมากขึ้น เช่นกัน สำหรับคนที่ต้องไปในที่สาธารณะ พกสเปรย์อาจป้องกันได้ดีกว่า เพราะสามารถฉีดบริเวณจุดที่คุณต้องสัมผัสและฆ่าเชื้อได้อย่างทันที ทำให้คุณปลอดภัย สบายใจหายห่วง

4.แฮนด์ครีม

  • เรื่องความสวยความงาม คือสิ่งที่มาคู่กับสาวๆ เมื่อคุณต้องใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือที่มีความเข้มข้นสูงเป็นประจำ อาจทำให้ผิวของมือนั้นแห้งกร้าน หรือบางคนรุนแรงกว่านั้นผิวอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ ดังนั้นคุณสาวๆ ต้องหมั่นดูแลสุขภาพผิวของตัวเอง ด้วยการใช้แฮนด์ครีมที่มีส่วนผสมของธรรมชาติ ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น และคืนความอ่อนโยนสู่ผิว ส่วนใครที่ผิวแพ้ง่ายให้ลองใช้แฮนด์ครีมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้และกลีเซอลีน จะช่วยถนอมผิวคุณได้ดีกว่า

ปรอทวัดไข้

5.ปรอทวัดไข้ / ปรอทวัดไข้อินฟราเรด

  • ปิดท้ายสำหรับสาวๆ ที่มีนิสัยชอบแพนิค มักคิดเสมอว่าตัวเองติดโรคโควิด-19 และต้องมีเครื่องป้องกันไวรัสไว้ใกล้ๆ ตัว เพราะจะช่วยให้รู้สึกอุ่นใจ และคลายความกังวลได้ นอกจากหน้ากากอนามัย ปรอทวัดไข้ คือสิ่งที่คุณต้องมีติดบ้านไว้! หรือยิ่งใครที่เป็นคนป่วยง่าย อาจพกติดตัวไว้เพื่อเช็กอาการตลอดเวลา เพราะไข้ คืออาการสำคัญของโรค ดังนั้นหากคุณรู้สึกไม่ดี คล้ายจะมีไข้ การเช็กอาการและทราบผลอย่างรวดเร็ว จะช่วยให้คุณป้องกันตัวได้อย่างถูกต้อง และหากอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะได้พบแพทย์ได้อย่างทันท่วงที

สิ่งที่ควรปฏิบัติ เมื่อกลับมาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงกับคนในครอบครัว

สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้าน และกังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นพาหะที่นำเชื้อไวรัสโคโรน่าเข้ามาติดสู่คนในครอบครัวหรือไม่ เรามีสิ่งที่คุณต้องปฏิบัติทันทีเมื่อถึงบ้าน หลังจากออกไปข้างนอกมาบอกกัน เพื่อเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณปกป้องคนที่คุณห่วงใย ได้อย่างถูกต้อง

1.ถอดหน้ากากอนามัยทิ้งอย่างเหมาะสม

  • เมื่อคุณออกไปทำงานข้างนอก ต้องมีการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ทำให้เชื้อโรคอาจมีการสะสมภายในแมสก์ได้ ถึงแม้ว่าหน้ากากอนามัยจะสามารถใส่ซ้ำได้ แต่หากคุณใส่ตลอดทั้งวัน ควรนำหน้ากากอนามัยม้วนใส่ถุงแล้วนำไปทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่หากเป็นหน้ากากอนามัยแบบผ้า ให้รีบซักแยกทันที และที่สำคัญแมสก์ผ้าจะสะสมเชื้อโรคได้ง่ายกว่า ดังนั้นคุณไม่ควรใส่แมสก์ผ้าตลอดทั้งวัน โดยควรสลับเปลี่ยนใส่หลายๆ อัน

ทิ้งหน้ากากอนามัย

2.เก็บเสื้อคลุมแยกจากตู้เสื้อผ้า

  • เสื้อคลุมที่คุณใส่ไปทำงาน หรือใส่ออกไปด้านนอก อาจนำเชื้อไวรัสโควิด-19 ติดเข้ามาในบ้านด้วย ฉะนั้น วิธีซักผ้าช่วงไวรัสระบาดก็สำคัญเช่นกัน ทางที่ดีควรหาราวแขวนแยก หรือแขวนไว้ที่ประตู ไม่นำมาปะปนกับเสื้อผ้า เพราะอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ แต่ทางที่ดีในระยะนี้ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ ควรเปลี่ยนชุดทุกวัน และนำเสื้อผ้าที่ใส่มาทั้งวันซักทันที เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและสุขอนามัยที่ดีในครอบครัว

3.ล้างมือทันที

  • มือ คืออวัยวะในร่างกายที่สะสมเชื้อโรคไว้มากที่สุด ดังนั้นเมื่อถึงบ้านจงรีบไปล้างมือโดยด่วน โดยล้างให้ครบทุกนิ้ว ถูให้ละเอียดตามซอกนิ้ว ซึ่งจะใช้เวลา 30 – 45 วินาที เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้มือของคุณสะอาดและปราศจากเชื้อโรคได้อย่างแน่นอน คุณสามารถดูวิธีการล้างมืออย่างถูกต้องได้ที่บทความ การล้างมือให้ปราจากเชื้อโรค

4.อาบน้ำ

  • เมื่อเสร็จภารกิจจากข้างนอก กลับบ้านมาควรรีบอาบน้ำทันที เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย รวมไปถึงเชื้อไวรัสต่างๆ โดยการใช้สบู่ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ ใครที่มีนิสัยไม่ชอบอาบน้ำ อาจต้องปรับเปลี่ยน ไม่เช่นนั้นเชื้อโรคจะติดตามตัว และส่งผลให้คุณมีความเสี่ยงได้

อาบน้ำ-โควิด

ไวรัสโคโรน่า ถือเป็นโรคระบาดที่เปลี่ยนพฤติกรรมคนอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด คือทุกคนรักสุขภาพและหันมาห่วงใยคนใกล้ตัวมากขึ้น ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่าต้องออกนอกบ้าน อย่าลืมป้องกันตัวเองให้ดี ส่วนสาวๆ คนไหนที่ชอบไปในที่คนเยอะๆ อย่าลืมพก 5 ไอเท็มสำคัญที่เราแนะนำ จะช่วยป้องกันคุณจากไวรัสได้อย่างแน่นอน อีกทั้งช่วยเพิ่มความสบายใจ และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น