Categories
BEAUTY

ริ้วรอยใต้ตา ดูแลอย่างไรให้กลับมาเต่งตึง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ริ้วรอยใต้ตา ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาหนักใจของผู้หญิงเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่นของผิวหนังจะยิ่งลดลง การสร้างคอลลาเจนก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ผิวหนังของเราไม่มีความชุ่มชื้นเท่ากับผิวหนังของคนวัยหนุ่มสาว และริ้วรอยจะยิ่งปรากฏชัดมากขึ้นเมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดปัญหาใต้ตาเหี่ยวย่น ถุงบวมใต้ตา ขอบตาดำคล้ำ ไปจนถึงการมีริ้วรอยบริเวณใต้ตานั่นเอง

ซึ่งนอกจากปัญหาเหล่านี้ที่จะทำให้ใต้ตาของเราดูไม่สวยงามแล้ว ยังทำให้เรามีผิวหนังที่แก่ก่อนวัยอันควรอีกด้วย ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องหาวิธีลดริ้วรอยบริเวณใบหน้า และรอบดวงตา เพื่อเพิ่มความมั่นใจได้มากกว่าเดิม


ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากสาเหตุใดบ้าง?

ริ้วรอยใต้ตา

ทุกคนรู้หรือไม่ว่า ปัญหาการเกิดริ้วรอยใต้ตานั้นมาจากสาเหตุใดบ้าง? ปัญหาริ้วรอยใต้ตาจะเพิ่มขึ้นเมื่อเรามีอายุที่มากกว่าเดิม และเป็นสาเหตุมาจากการที่ร่างกายของเรามีคอลลาเจน และอีลาสตินที่ลดลง กรดไฮยาลูรอนิกในผิวหนังลดลง รวมทั้งสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ผิว แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการที่เรามีอายุเพิ่มขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอื่น ๆ

ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรา การที่เราขยี้ตาอยู่บ่อย ๆ รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ ผิวขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากผิวบริเวณใต้ตาของเรามีไขมันน้อยกว่าบริเวณอื่น ๆ ส่งผลให้ผิวแห้งได้ง่าย และเกิดรอยใต้ตาได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น อีกทั้งยังมีเรื่องของสภาพแวดล้อม อาหารการกิน และการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ที่จะเกิดขึ้นบนใบหน้าซ้ำ ๆ อย่างเช่น การขมวดคิ้ว เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้อย่างชัดเจน

 


วิธีป้องกันริ้วรอยใต้ตา

ริ้วรอยใต้ตา

 

โดยปกติแล้วการเกิดริ้วรอยใต้ตา มักจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา รวมไปถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน ดังนั้นการลดริ้วรอยใต้ตา pantip จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ทุกคนป้องกันริ้วรอยได้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้วิธีการป้องกันริ้วรอยใต้ตาด้วยวิธีธรรมชาติ จะสามารถทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ และทำได้ย่อย ไม่เปลืองเงิน แต่รับรองได้เลยว่าจะเห็นผลได้จริง และนอกจากวิธีเหล่านี้จะสามารถลดริ้วรอยใต้ตาได้แล้ว ยังช่วยให้ผิวหน้าดูอวบอิ่ม มีสุขภาพดีแบบสาววัย 20 ต้น ๆ อีกด้วย รับรองได้เลยว่าทุกคนจะได้ย้อนวัยกันอย่างแน่นอน

1. ประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา

ริ้วรอยใต้ตา

การประคบเย็นจะเป็นตัวช่วยป้องกันริ้วรอยใต้ตาวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี โดยการประคบเย็นที่ดีควรประคบประมาณ 15 นาทีก่อนนอน หรือใช้แตงกว่าหั่นแว่นและวางเอาไว้บริเวณดวงตาอย่างน้อยวันละ 5 นาที เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดขอบตาบวมคล้ำได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ผิวบริเวณรอบดวงตาได้รับความชุ่มชื้น นับเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลริ้วรอยใต้ตาที่สามารถทำเองได้ง่าย ๆ แบบขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่อีกด้วย

2. มาร์คหน้าด้วยอะโวคาโด

ริ้วรอยใต้ตา

หรือไม่ว่าอะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมาก และอะโวคาโดไม่เพียงแต่จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่อะโวคาโดยังดีต่อผิวหนัง ที่จะช่วยให้เรื่องความสวยงามได้อีกด้วย หากสาว ๆ คนไหนที่มีปัญหาใต้ตาหมองคล้ำ นอนดึกบ่อย ๆ หรือเสียน้ำตาจากอกหักจนทำให้ถุงใต้ตาสามารถเลี้ยงปลาได้หนึ่งตัว แนะนำให้ฝานเนื้ออะโวคาโดเป็นแผ่นบาง ๆ และนำมาวางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้ามเป็นเวลาประมาณ 15 – 20 นาที รับรองได้เลยว่าจะช่วยให้ใต้ตาดีขึ้นได้แน่นอน

3. ดื่มน้ำให้มาก

ริ้วรอยใต้ตา

การดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์จะถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ใต้ตาชุ่มชื้น หรือกระจ่างใสได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย โดยเราควรดื่มน้ำเปล่าวันละ 6 – 8 แก้ว เพื่อให้ผิวหน้า และผิวรอบดวงตาของเราที่เป็นส่วนที่บอบบางมากที่สุด มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพราะเมื่อไหร่ที่ผิวเราขาดน้ำ จะทำให้ริ้วรอยชัดเจนขึ้นกว่าเดิม 

 


 

วิธีดูลดริ้วรอยใต้ตา

ปัญหาในเรื่องของริ้วรอยใต้ตา อายุน้อย ทั้งรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณหางตา หรือตีนกา จะสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเป็นอย่างมาก และการแก้ปัญหาเหล่านี้จะแก้ปัญหาได้ค่อนข้างยากเลยทีเดียว แต่ทุกคนไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะในวันนี้เรามีวิธีช่วยลดริ้วรอยใต้ตามาฝาก ซึ่งจะเป็นวิธีลดริ้วรอยใต้ดวงตาแบบง่าย ๆ สามารถทำได้ด้วยตนเอง รับรองได้เลยว่าจะใช้ได้ผลแน่นอน แต่จะต้องทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ได้ผลที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

1. ทาอายครีม

ริ้วรอยใต้ตา

อายครีมจะถือเป็นครีมที่เอาไว้บำรุงผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ และยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี สำหรับผู้ที่มีปัญหาบริเวณรอบ ๆ ดวงตา อย่างเช่น ริ้วรอยใต้ตา ริ้วรอยบริเวณหางตา หรือตีนกา รวมทั้งผิวใต้ตาคล้ำ เป็นต้น สำหรับใครที่ยังมีอายุไม่เยอะเท่าไหร่นัก หรือยังไม่มีปัญหาบริเวณรอบ ๆ ดวงตา จะสามารถทาอายครีมกันเอาไว้ก่อนได้เช่นกัน สำหรับอายครีมจะมีให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น อายครีมที่เป็นเนื้อครีม อายครีมเนื้อเจล เซรั่ม หรือแบบน้ำที่เป็นลูกกลิ้ง ซึ่งอายครีมเหล่านี้จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลได้รวดเร็ว และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้ดีที่สุด

2. โบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ดวงตา

การฉีดโบท็อกซ์จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่หลาย ๆ คนไม่ควรมองข้าม เพราะการฉีดโบท็อกซ์จะเหมาะสำหรับผู้ที่อยากแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาอย่างเร่งด่วน สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้นจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา รวมทั้งริ้วรอยบริเวณหางตา หรือตีนกาได้รวดเร็วมากที่สุด การฉีดโบท็อกซ์ไม่ใช่การผ่าตัด ดังนั้นจะไม่ต้องพักฟื้น และหลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วจะเห็นผลได้ภายใน 2 – 3 เท่านั้น และผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่กับเราได้นานถึง 3 – 6 เดือนเลยทีเดียว แต่สำหรับระยะเวลานั้น จะขึ้นอยู่กับประเภทของโบท็อกซ์ที่เราฉีดเข้าไป รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราด้วยเช่นกัน

3. มาร์คใต้ตาช่วยลดริ้วรอย

 

การมาร์คใต้ตาจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดริ้วรอยได้ดีที่สุด แถมยังเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรทำเป็นประจำ ในปัจจุบันจะมีแผ่นมาร์คใต้ตาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้เราทุกคนได้รับความสะดวกในการใช้งานมากที่สุด โดยแผ่นมาร์คใต้ตาจะอุดมไปด้วยส่วนผสมและสารบำรุงใต้ตาอย่างอัดแน่นตามสูตร มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกใช้งาน แต่ละแบรนด์จะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นทุกคนสามารถเลือกใช้งานได้อย่างอิสระ

4. ลดริ้วรอยใต้ตาด้วยการฉีดฟิลเลอร์

ริ้วรอยใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมาก หรือผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาเวลายิ้มค่อนข้างเยอะ มีปัญหาร่องใต้ตาไม่ลึกหรือกว้างมากเกินไป โดยอาจจะใช้วิธีการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มแอ่งใต้ตาให้ตื้นขึ้น และช่วยลดรอยเหี่ยวย่นบริเวณใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการฉีดสารสังเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายมากที่สุด อย่างเช่น ไฮยาลูรอนิก ซึ่งสารที่นำมาฉีดนี้จะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และต้องฉีดซ้ำทุก ๆ 6 – 8 เดือน แต่รับรองได้เลยว่าการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

 


เมื่อใบหน้าของเราได้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ แล้ว อย่างเช่น ริ้วรอยใต้ตา จำเป็นต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุด เพราะหากเรารักษาช้าเท่าไหร่ ริ้วรอยจะเพิ่มและเห็นชัดมากขึ้นเท่านั้น แต่หากเรารักษาอย่างรวดเร็ว ผิวก็จะมีโอกาสคืนสภาพเป็นปกติได้เร็วเท่านั้น ดังนั้นเราควรดูแลและป้องกันริ้วรอยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีวิธีการป้องกันและวิธีรักษาที่แตกต่างกันออกไป ทุกคนสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม


อ้างอิง

3 ตัวช่วยลด ริ้วรอยใต้ตา มีอะไรบ้าง มาดูกัน!. https://www.apexprofoundbeauty.com

 

Categories
BEAUTY

เล็บฉีกง่าย ทำยังไงดี ? แนะนำวิธีแก้ปัญหาเล็บเปราะ

เล็บฉีกง่าย ทำยังไงดี ? แนะนำวิธีแก้ปัญหาเล็บเปราะ

เล็บฉีกง่าย ปัญหากวนใจที่น่ารำคาญมาก ๆ ปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะใครที่ชอบทำเล็บ ไว้เล็บยาว จะต้องไม่ชอบใจแน่ ๆ หากมีปัญหาเล็บฉีกมากวนไม่จบไม่สิ้น นอกจากจะทำให้เล็บของเราดูไม่สวยแล้วนั้น บางครั้งเล็บฉีกอาจจะฉีกลึกเข้าไปจบทำให้เราเกิดความเจ็บปวดขึ้นได้อีกด้วย ปัญหาเล็บฉีกนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งปัจจัยจากภายใน และภายนอกที่ส่งผลให้เล็บของเราเปราะบาง ไม่แข็งแรงเท่าที่เราอยากให้เป็น เราลองไปดูกันว่าเล็บฉีกนั้นเกิดจากอะไร เราจะป้องกัน และแก้ปัญหาเล็บฉีกได้อย่างไรบ้าง 


เล็บฉีกง่าย เกิดจากอะไร

เล็บฉีกง่าย

ก่อนอื่นเลยเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าเล็บของเรานั้นฉีกขาดง่ายเปราะบางเกิดขึ้นได้จากสาเหตุใดบ้าง 

  1. ขาดความชุ่มชื้น เมื่อหน้าเล็บของเราแห้งก็ส่งผลให้เล็บฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งการขาดความชุ่มชื้นนี้อาจจะเกิดได้จากการที่เราใช้มือในการทำสิ่งต่าง ๆ การล้างมือมากเกินไปแล้วไม่ได้ทาครีมบำรุงมือ และเล็บ การที่เล็บของเราสัมผัสกับสารเคมีจนทำให้สูญเสียความชุ่มชื้น 
  2. ทาเล็บทิ้งไว้นานเกินไป หลายคนชื่นชอบการทำเล็บ ทาเล็บให้มีสีสันต่าง ๆ แต่เมื่อทาแล้วบางคนก็ปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ดูแลหน้าเล็บแต่อย่างใด การที่เราทาเล็บทิ้งไว้ ปล่อยให้ผิวเล็บของเรามียาทาเล็บเคลือบไว้โดยไม่ได้รับการดูแลเพิ่มเติม (เช่นการทาน้ำมันบำรุงเล็บ หรือทาครีมอย่างเป็นประจำ) ก็สามารถที่จะทำให้เล็บของเราเปราะบางฉีกขาดได้ง่าย 
  3. เล็บฉีกขาดจากการไม่ระมัดระวังในชีวิตประจำวัน เช่นการล้างจาน สระผม ขัดล้างสิ่งต่าง ๆ โดยไม่สวมถุงมือ จนทำให้เล็บแช่อยู่ในน้ำนานเกินไปเล็บจึงมีความนิ่มขึ้น และฉีกขาดได้ง่าย 
  4. การทำเล็บมากเกินไปจนลามไปถึงการเล็มจมูกเล็บ (ส่วนโคนเล็บที่เล็บงอกออกมา) ทำให้เล็บที่งอกขึ้นมาใหม่ไม่แข็งแรงจึงฉีกขาดได้ง่าย
  5. การที่ร่างกายขาดสารอาหาร หรือได้รับสารอาหารบางอย่างไม่เพียงพอจนทำให้เล็บขาดความสมบูรณ์

เล็บฉีกง่ายขาดสารอาหารอะไร

เล็บฉีกง่าย

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เล็บฉีกขาดได้ง่าย คือการที่ร่างกายของเราขาด หรือได้รับสารอาหารบางอย่างไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่จะนำไปบำรุงเล็บ ซึ่งสารอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพเล็บของเรานั้นก็มีอยู่ด้วยกันดังนี้

  1. ธาตุเหล็ก สารอาหารจำเป็นต่อร่างกายที่มีส่วนช่วยในการบำรุงเลือด ให้เลือดของเรามีคุณภาพดี สามารถหมุนเวียนได้ทั่วร่างกายอย่างไม่ขัดข้องรวมไปถึงการหมุนเวียนไปยังเล็บของเราเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบำรุงให้เล็บของเรามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น 
  2. วิตามินบี เป็นวิตามินสำคัญที่ช่วยในการส่งเสริมการทำงานของร่างกายให้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหนึ่งในวิตามินบีที่สำคัญ และส่งผลโดยตรงต่อการบำรุงเล็บของเราให้มีความแข็งแรง (รวมถึงเส้นผม) ก็คือวิตามินบี 7 หรือที่เราอาจจะคุ้นหูกันดีในชื่อ ไบโอติน ซึ่งเล็บ และเส้นผมของคนเรานั้นประกอบไปด้วยโครงสร้างของเคราติน ซึ่งวิตามินบี 7 หรือไบโอตินนั้นเป็นวิตามินชนิดสำคัญที่สามารถบำรุงโครงสร้างเคราตินได้ ด้วยเหตุนี้ไบโอตินจึงถือเป็นสารอาหารวิตามินที่สำคัญสุดชนิดหนึ่งในการเป็นตัวแปลให้เล็บของเรามีความแข็งแรง 
  3. แคลเซียม แร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ในการเสริมสร้างกระดูก และฟัน การแข็งตัวของเลือด จนถึงการบำรุงระบบประสาท หากร่างกายของเราได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เล็บของเราฉีกขาดได้ง่ายได้ด้วยเช่นเดียวกัน 

วิธีดูแลเมื่อเล็บฉีก

เมื่อเล็บของเราฉีกขาดแล้วนั้น ก่อนอื่นเลยก็จะต้องตัด และเล็มส่วนที่ฉีกขาดออกเสียก่อน เพราะอย่างไรก็ตามเราไม่สามารถที่จะต่อเล็บกลับไปได้แล้ว และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เล็บฉีกมากกว่าเดิม หรือฉีกลึกไปถึงส่วนเนื้อใต้เล็บจนทำให้บาดเจ็บได้อีกด้วย 


วิธีป้องกันเล็บฉีกง่าย

เล็บฉีกง่าย

หากเราไม่ต้องการให้เล็บฉีกขาดได้ง่าย เราสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามนี้ 

  1. สวมถุงมือเมื่อทำงานบ้าน หรือต้องเจอกับสารเคมี เพื่อป้องกันไม่ให้เล้บของเราสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง หรือต้องแช่อยุ่ในน้ำเป็นเวลานานเกินไป
  2. ตัด และตะไบเล็บให้สั้นเสมอ เพื่อไม้ให้เล็บฉีกเกี่ยวจนทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้
  3. ทาน้ำมันบำรุงเล็บที่จมูกเล็บ หรือโคนเล็บอยู่เสมอ เพื่อให้เล็บไม่แห้งแกรนใครที่อยากไว้เล็บยาว หรือชอบทาเล็บบ่อย ๆ ควรบำรุงเล็บด้วยน้ำมันบำรุงเล็บอย่างสม่ำเสมอ
  4. ทาครีมบำรุงทั้งมือ และเล็บเพื่อบำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื้นอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะใครที่ชอบล้างมือบ่อย ๆ หรือใช้แอลกอฮอล์ในการทำความสะอาดมือบ่อย ๆ การทาครีมบำรุงถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ หารเราไม่อยากให้เล็บของเราแห้งแตกจากแอลกอฮอล์
  5. รับประทานวิตามินเสริมในกรณีที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจำทำให้เล็บฉีกขาด
  6. หลีกเลี่ยงการใช้เล็บในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการเปิดกระป๋อง หรือกดปุ่มต่างๆ 

เล็บถือเป็นอีกส่วนของร่างกายที่ต้องการการดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดการฉีกขาดได้ง่าย ใครที่กังวลใจเรื่องการฉีกขาดของเล็บก็สามารถลองนำเอาวิธีการป้องกันเล็บฉีกขาดที่เราแนะนำไปปรับใช้ดูได้เพื่อให้เล็บมีสุขภาพที่แข็งแรง และไม่ฉีกขาดได้ง่ายอีกต่อไป  


อ้างอิงจาก

https://www.prevention.com/beauty/g20454500/solutions-for-weak-nails-that-keep-breaking/

https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/healthy-nails#takeaway

Categories
BEAUTY

คอลลาเจนช่วยอะไร ? ไขความลับตัวช่วยความงามอ่อนเยาว์

คอลลาเจนช่วยอะไร ? ไขความลับตัวช่วยความงามอ่อนเยาว์

ไม่ว่าใครก็อยากมีผิวสวยแบบสุขภาพดี ในแบบฉบับที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันนี้มีวิธีหลากหลายที่จะช่วยให้สุขภาพดี โดยการมีสุขภาพดีได้นั้นก็จะต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตั้งแต่เรื่องอาหาร การออกกำลังกาย เพราะจะส่งผลให้ผิวพรรณดี ระบบร่างกายทำงานเป็นปกติ โดยจะขอแนะนำอาหารเสริมอย่าง “คอลลาเจน” ที่มีคุณสมบัติที่จะช่วยดูแลผิวพรรณ กับ ซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เพราะเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนก็จะลดลงเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณเองก็จะต้อง สำหรับวันนี้พวกเราจะมาแนะนำเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ ประโยชน์ของคอลลาเจน คอลลาเจนช่วยอะไร พร้อมกับไขความลับที่จะช่วยให้ความงามของเรานั้นดูอ่อนเยาว์มากขึ้น สำหรับคุณสมบัติของเจ้าสิ่งนี้จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นได้อย่างไร ติดตามไขความลับนี้ได้ในบทความนี้ 


มาทำความรู้จัก คอลลาเจนคืออะไร

คอลลาเจนช่วยอะไร

เรื่องราวของ คอลลาเจน ทุกคนคงจะเคยได้ยินกันมาอย่างแพร่หลาย เพราะว่านี่คือหนึ่งในอาหารเสริมที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งคอลลาเจน จะมีการนำมาใช้ประโยชน์ด้านการดูแลผิวพรรณมาเป็นเวลานาน เพราะว่าประโยชน์ของคอลลาเจนนั้นเป็นที่รู้จักกับว่าสามารถช่วยได้จริง เห็นผลได้จริง ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น เรียบเนียนมากขึ้น ดังนั้นสารสกัดชนิดนี้จะมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อร่างกายในทุกส่วน

“คอลลาเจน” คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง โดยจะมีสัดส่วนที่มากถึง  80% จะทำหน้าที่คล้ายกับกาว เป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย  เกี่ยวข้องกับผิวหนัง กระดูก เล็บ เอ็น กล้ามเนื้อ รวมถึงข้อทุกจุดของร่างกาย สำหรับตัวคอลลาเจนจะอยู่ที่ผิวหนังชั้นล่าง ดังนั้นการทาครีมทั่วไป ก็จะไม่มีผลที่ส่งตรงไปถึงการปกป้องคอลลาเจนที่อยู่ในผิวหนัง กว่า 16 ชนิดของคอลลาเจนที่เราสามารถพบได้ภายในร่างกาย


คอลลาเจน 4 ชนิด พบได้บ่อยในร่างกาย

คอลลาเจนช่วยอะไร

คอลลาเจนที่มากกว่า 16 ชนิดภายในร่างกาย จะถูกพบบ่อยอยู่ 4 ชนิด นั่นก็คือ คอลลาเจนชนิดที่ 1,2,3,5 โดยแต่ละชนิดจะมีจุดที่พบดังต่อไปนี้ 

  • Collagen Type I  ชนิดที่ 1 : จะพบได้มากที่สุดในร่างกาย มีส่วนช่วยในการเสริมความยืดหยุ่น การสมานแผล สามารถพบได้ในผิวหนัง เส้นผม เนื้อเยื่อ กระดูก รวมทั้งผนังหลอดเลือด 
  • Collagen Type II  ชนิดที่ 2 : จะเป็นชนิดที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดที่ 1 จะพบมากในกระดูก กระดูกอ่อน รวมทั้งข้อต่อ ที่มีหน้าที่ช่วยในการสร้างกระดูกอ่อนด้วย 
  • Collagen Type III ชนิดที่ 3 : จะพบในบริเวณผิวหนัง กล้ามเนื้อ รวมทั้งหลอดเลือด 
  • Collagen Type V : ชนิดที่ 5 นี้ จะพบได้ในบริเวณเดียวกันกับชนิดที่ 1 หรือในส่วนของชั้นใต้ผิวหนัง รวมทั้งในเนื้อเยื่อของทารกในระหว่างตั้งครรภ์ด้วย

แน่นอนเลยว่าคอลลาเจนนั้น จะกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ซึ่งจะมีการสร้าง การสลายที่สมดุลกันไปจนถึงอายุ 40 ปี แน่นอนเลยว่าจุดนี้ตัวของคอลลาเจน จะสร้างลดลงประมาณร้อยละ 1 ต่อปี แต่อัตราในการสลายคอลลาเจนยังเท่าเดิม เรื่องนี้จึงส่งผลให้เมื่ออายุมากขึ้นหลังจาก 40 ปีขึ้นไปแล้ว จะพบการเกิดริ้วรอย อีกทั้งสภาพผิวหนังที่แห้งไม่ชุ่มชื้น นี่แหละคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวของเราในอนาคตข้างหน้า 


Hydrolyzed Collagen

ขอเสริมถึงสาระสำคัญของ คอลลาเจนอย่าง Hydrolyzed Collagen อ่านว่า ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน จะเป็น คอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยบางส่วนแล้ว เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้ได้คอลลาเจนที่มีขนาด กับ ความยาวที่สั้นลง เป็นคอลลาเจนที่ผ่านการย่อยด้วยกรดจนได้อนุภาคที่เล็กที่สุด พร้อมทั้งยังคงแสดงคุณสมบัติของความเป็นคอลลาเจน ซึ่งขนาดจะยิ่งเล็กเท่าไหร่ ก็จะบ่งบอกได้ว่าประสิทธิภาพในการดูดซึมจะทำได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไปถึง 3 เท่า แน่นอนเลยว่าคอลลาเจนประเภทนี้จะช่วยทำให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรงพร้อมกับป้องกันอวัยวะต่าง ๆภายในร่างกาย เชื่อมกันได้เป็นอย่างดี อ้างอิง Kinpla.net


อัตรากดเสื่อมของ “คอลลาเจน” 

คอลลาเจนช่วยอะไร

คอลลาเจนมีอัตราการกดเสื่อมที่คุณต้องรู้ เพราว่าในผิวหนังของเรานั้น ผิวของเราจะค่อย ๆ สูญเสียความชุ่มชื้นยุบตัวลง ซึ่งผิวที่เคยสวยเต่งตึง ก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น สิ่งเหล่านี้จะเริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปี ผิวของเราก็จะเริ่มหย่อนคล้อย เมื่ออายุเพิ่มขึ้น สัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยจะมีช่วงเวลาของการเสื่อมที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 

เมื่ออายุ 30-39 ปี 

เมื่อเริ่มเข้าเลข 3 ผิวของคุณจะมีรอยย่นบาง ๆ ทอดยาวไปจนถึงบริเวณหน้าผาก มีรอยเล็ก ๆ ในส่วนใต้ขอบตาล่าง หางตา ก็จะเห็นริ้วรอยที่ชัดขึ้นในเวลายิ้ม พร้อมกับรอยย่นระหว่างคิ้วจะเห็นชัดเจน ในส่วนของร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจจะเกิดไฝ กระ ฝ้า ทั้งแบบลึก และ มีรูขุมขนที่ชัดเจนมากขึ้น

เมื่ออายุ 40-49 ปี 

ในช่วงอายุเลข 4 จะพบรอยย่นบริเวณหน้าผากอย่างชัดเจน รวมไปถึง ใต้ขอบตาล่าง รอยย่นข้างแก้ม ร่องแก้มไปจนถึงมุมปาก อีกทั้งจะยังมีฝ้าชนิดลึกมากขึ้น ผิวเริ่มแห้ง รูขุมขนใหญ่ เริ่มเป็นสิว มีติ่งเนื้อกระจัดกระจายเป็นตุ่ม ๆ อยู่ทั่วร่างกาย

เมื่ออายุ 50-64 ปี 

อายุที่เข้าหลักเลข 5 แล้ว จัดได้ว่าอยู่ในวัยสูงอายุ ริ้วรอยจะเต็มไปทั่วร่างกาย ทั่วใบหน้า เพราะในอายุนี้คอลลาเจนได้เสื่อมลงไปแล้วอย่างมาก 

อายุ 65 ปีขึ้นไป 

ผิวหนังจะหยาบกร้านขึ้น พร้อมกับริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปาก ในบางรายก็มีรอยย่นเหนือริมฝีปาก ความเสื่อมของผิวพรรณเห็นได้อย่างชัดเจน นี่แหละคือสัญญาณของการเสื่อมของคอลลาเจนอย่างแท้จริง 

หากสนใจ Collagen ยี่ห้อที่มีคุณภาพสามารถดูได้ที่บทความต่อไปนี้ คอลลาเจนยี่ห้อไหนดีจาก Kapook.com


คอลลาเจนช่วยอะไร ? ทำไมถูกขนานนามเรื่องความอ่อนเยาว์

คอลลาเจนช่วยอะไร

เป็นอีกหนึ่งสารสกัดที่ถูกขนานนามเลยว่า เป็นตัวช่วยในเรื่องของความอ่อนเยาว์ เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นเลยก็ว่าได้ เพราะว่า คอลลาเจนมีประโยชน์หลายด้าน เสริมสร้างให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นแข็งแรง ได้รับสิ่งที่ต้องการอย่างครบถ้วน ซึ่งประโยชน์ของคอลลาเจน ถูกยกมาพูดถึงในเรื่องเด่น ๆ ได้ดังต่อไปนี้


เรื่องเด่นของ คอลลาเจน

สำหรับเรื่องเด่นของคอลลาเจนนั้น จะส่งผลดีต่อร่างกายในจุดใหญ่ ๆ ทั้งหมด 5 ข้อ ซึ่งมีงานวิจัยที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งจะมีประโยชน์ดังนี้

  • จะช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ้มชื้นที่เห็นได้ชัด ความหยาบกร้านของผิวจะหายไป
  • ลดการเปราะแตกของเล็บ จะแข็งแรงขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งมาก เพียงแต่ไม่แตกง่าย
  • ช่วยทำให้ริ้วรอย ที่เห็นได้ชัดดูจางลง ซึ่งเห็นผลได้จริง 
  • ช่วยชะลอการสลายของมวลกระดูก เมื่อทานคู่กับแคลเซียม วิตามินซี หรือ วิตามินอื่น ๆ จะเห็นผลได้ชัดขึ้น
  • ในผู้สูงอายุ ก็สามารถช่วยลดอาการปวดข้อต่อได้ 

จะเห็นได้เลยว่า ด้วยคุณสมบัติของคอลลาเจน ทำให้คนที่รักในสุขภาพ รวมทั้งผู้ที่รักในความงามต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีแบรนด์คอลลาเจนเกิดขึ้นมากมาย ทำให้การแข่งขันสูง ผู้ผลิตก็จะต้องผลิตตัวคอลลาเจนให้มีคุณภาพที่ดี การรีวิวที่ดี การพูดถึง ซึ่งทำให้คอลลาเจน คืออีกหนึ่งสารสกัดที่ดีต่อสุขภาพกับความงาม รวมทั้งความอ่อนเยาว์ที่เห็นผลลัพธ์ได้จริง และ รวดเร็วด้วย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คนกำลังตามหาเคล็ดลับของการ มองหาคอลลาเจนในสูตรการกินต่าง ๆ เพื่อบำรุงร่างกายอย่างยั่งยืนนั่นเอง 


เคล็ดลับการใช้คอลลาเจนเพื่อบำรุงด้านความงาม

คอลลาเจนช่วยอะไร

บอกได้เลยว่า ความงาม เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สาว ๆทุกคนต้องการ เปรียบดั่งการเพิ่มความมั่นใจ ในการใช้ชีวิต แต่งตัว หรือ ออกไปพบเจอกับผู้คนมากมาย แน่นอนเลยว่า สำหรับวันนี้พวกเราจึงได้รวบรวม เคล็ดลับในการใช้ หรือ การกินคอลลาเจน เพื่อบำรุงทางด้านความงามอย่างได้ผล แต่ระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 


1.เคล็ดลับ กินโปรตีนให้เพียงพอ 

เมื่อเราได้ทานคอลลาเจนเป็นประจำแล้วนั้น ยังคงจำเป็นที่จะต้องรับประทานโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งจะทำให้สร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นการกินโปรตีนจาก เนื้อสัตว์ นม ไข่ รวมทั้ง ธัญพืชต่าง ๆ ให้พียงพอต่อความต้องการต่อวัน หรือ 1-1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งจะต้องเพียงพอ ตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำหนักตัวอยู่ที่ 50 กรัม จะต้องกินโปรตีนให้ได้ 50-60 กรัมต่อวันนั่นเอง เหตุผลที่จะต้องทานโปรตีนให้เพียงพอนั้น จะส่งผลดีคือ ร่างกายจะย่อยเป็นกรดอะมิโน เพื่อนำไปสร้างเป็นคอลลาเจน ไปใช้ประโยชน์ต่อสภาพผิว ข้อเข่า รวมทั้งมวลกระดูกด้วย อีกเรื่องคือการปรับสมดุลโปรตีนในร่างกายจะเป็นประโยชน์มากเลยทีเดียว 

2.กินคอลลาเจน คู่กับ แหล่งของวิตามินซี

จุดเด่นของวิตามินซี จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นวิตามินสำคัญที่ร่างกายต้องการ สำหรับวิตามินซีนั้น จะพบได้ทั้งในผัก ผลไม้ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ส้ม แอปเปิ้ลแดง มะนาว เบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ รวมทั้งผักคะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เคล็ดลับนี้ในด้านความงามจะเปรียบเสมือนตัวเร่งสปีดให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วขึ้น เพราะคุณสมบัติของวิตามินซีเป็นแบบนั้น 

3.กินอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอ คู่กับ คอลลาเจน 

เรียกได้ว่าคอลลาเจน คือ สารสกัดที่สามารถทานคู่กับวิตามินซีได้อย่างดีแล้ว วิตามินเอ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดีเช่นเดียวกัน โดยอีกหนึ่งเรื่องก็คือ จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของไฟโบรพลาสต์ ที่มีหน้าที่สำคัญในการสร้างคอลลาเจน กับ อิลาสตินของร่างกายด้วย คุณสมบัตินี้จะส่งผลดีต่อความงามผิวพรรณคือ ความเต่งตึงนั่นเอง โดยวิตามินเอ จะได้แก่ เนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักเขียว มะละกอสุก  เป็นต้น ซึ่งถ้าใครที่ทานอาหารครบ 5 หมู่อยู่แล้ว การทานคอลลาเจนก็จะทำให้เห็นผลได้เร็วขึ้น 

4.กินอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามิน อี คู่กับ คอลลาเจน 

อีกหนึ่งเคล็ดลับการกินคอลลาเจนคือ กินอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามิน อี เพราะวิตามินชนิดนี้ จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทำงานคู่กับ วิตามินซี โดยจะมีอยู่ใน น้ำมันพืช น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง โดยจะพบใน อาโวคาโด มะม่วง รวมทั้งถั่วอัลมอนด์ด้วย 

5.หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน เมื่อกินคอลลาเจน

อาหารรสหวาน  ถ้าหากว่าคุณรักในสุขภาพ จะต้องมีการควบคุมสักหน่อย เพราะน้ำตาลนั้นจะทำให้เกิดกระบวนการ ไกลเคชั่น ซึ่งจะทำให้คอลลาเจนที่ได้รับเข้ามานั้นเสียรูป ไม่ยืดหยุ่นแบบที่ควรจะเป็น ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกเคล็ดลับที่สำคัญ เพราะบางรายอาจจะกินหวานไปโดยที่ไม่รู้ตัวด้วย 

6.เมื่อกินคอลลาเจน น้ำดื่มต้องเพียงพอ

เคล็ดลับข้อสุดท้าย ก็เป็นเรื่องง่าย ๆเกี่ยวกับการกินคอลลาเจน  กับ การดื่มน้ำ ที่จะต้องดื่มให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยมาตรฐานคือ 8-10 แก้ว เปรียบเทียบเป็น 2 ลิตรต่อวัน ซึ่งน้ำดื่มจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งยังจะช่วยสร้างคอลลาเจนในร่างกายด้วย ที่สำคัญการดูดซึมต่าง ๆน้ำ จะเป็นตัวลำเลียงให้ร่างกายทำงานได้สะดวกมากขึ้นนั่นเอง ถ้าหากว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอ การสร้างคอลลาเจนในแต่ละวัน ก็จะลดลงไปด้วยนั่นเอง 


การใช้คอลลาเจน เพื่อบำรุงความงาม เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย อีกทั้งจะบำรุงจากภายในสู่ภายนอก เมื่อร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เป็นปกติ อีกทั้งยังมีคอลลาเจนที่ดูดซึมเข้ามาเสริม ก็จะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทั้งในจุดที่เป็นข้อต่อ เล็บ เอ็น ที่จะต้องใช้ความยืดหยุ่น ดูมีความแข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นภายนอกอย่างผิวพรรณ ก็จะดูสดใส เป็นธรรมชาติ นุ่ม ไม่แห้งกร้าน เชื่อเลยว่าเพียงคุณทำตามเคล็ดลับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลดีต่อการเร่งให้คอลลาเจนทำงานก็จะเห็นผลได้เร็วขึ้นด้วยนั่นเอง แต่ระยะเวลาในการเห็นผลสำหรับในบางรายอาจจะไม่เท่ากัน เพราะมีปัจจัยในเรื่องของระบบร่างกาย รวมทั้งพฤติกรรมที่แตกต่างกัน 

ปัจจุบันพวกเราจะหันมาใส่ใจในสุขภาพกันมากขึ้น เนื่องจากเกิดโรคระบาดอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา การป่วยง่าย เป็นไข้หวัด จะทำให้ร่างกายในส่วนต่าง ๆ อ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นปอด หรือ การไอ เจ็บคอ เมื่อได้เกิดขึ้นแล้วจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวด้วย อีกทั้งการบำรุงความงามเกี่ยวกับผิวพรรณ หน้าตา รวมทั้งในจุดอื่น ๆ ที่การกินคอลลาเจน จะส่งผลให้ในจุดนั้นแข็งแรง ยืดหยุ่น มีผิวพรรณที่สดใส ขาวกระจ่างใสมีออร่า คอลลาเจนก็จะเข้าไปช่วยให้จุดนี้ดูโดดเด่นมากขึ้น โดยทั้งหมดนี่ก็คือ ข้อมูลทุกเรื่องของคอลลาเจน ที่นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสารสกัดที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงความงาม และ บำรุงร่างกายทีได้ผลจริงที่ทุกคนยอมรับ


อ้างอิงจาก :

https://www.nestle.co.th/th/nhw/3e/eat/eating-tips-to-boost-collagen-production

https://www.interpharma.co.th/articles/healthy-and-aging/type-of-collagen/

https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/collagen

Categories
BEAUTY

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว พร้อมสะบัดผมแบบปังๆ

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว พร้อมสะบัดผมแบบปังๆ

ผมยาวสลวยเป็นเสน่ห์ที่สาว ๆ หลายคนหลงรัก เพราะผมยาวไม่ว่าไปที่ไหนก็ดึงดูดสายตาของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แต่การที่จะมีผมยาวสำหรับบางคนแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากแสนยาก เพราะกว่าจะดูแลผมให้ยาวได้ดั่งใจต้องใช้เวลานาน แถมบางทีผมก็แตกปลายจนต้องตัดใจตัดทิ้ง สำหรับสาว ๆ ที่อยากมีผมยาวแบบปัง ๆ วันนี้เรามี วิธีทําให้ผมยาวเร็ว และผมมีสุขภาพดีมาฝากกัน


วิธีทำให้ผมยาวเร็ว

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว

ปกติผมของคนเราจะยาวเดือนละประมาณ 2-3 เซนติเมตรต่อเดือนหรือประมาณ 0.3-0.4 มิลลิเมตรต่อวัน โดยการเจริญเติบโตของผมจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงเจริญเติบโต,ช่วงพักและช่วงผมร่วง ซึ่งช่วงที่เราสมารถเร่งความยาวของเส้นผมได้ก็คือ ผมที่อยู่ในช่วงการเจริญเติบโตนั้นเอง โดยปัจจัยที่จะทำให้ผมยาวเร็วและแข็งแรงจะขึ้นอยู่กับ

  1. เพิ่มความแข็งแรงของรากผม รากผม คือ จุดกำเนิดของเส้นผม ดังนั้นหากต้องการให้ผมยาวเร็ว คุณจะต้องดูแลรากผมให้มีความแข็งแรง ด้วยการกินอาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุเข้าไปช่วยบำรุงรากผม อย่าง ธัญพืช งา ถั่ว เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง นม ซีส โยเกิร์ต ผักใบเขียวและไข่ไก่ เป็นต้น เมื่อรากผมแข็งแรง ผมที่งอกออกมาก็จะแข็งแรงอยู่บนหนังศีรษะได้นานขึ้นและยาวมากขึ้นได้
  2. การทำความเส้นผมและหนังศีรษะ เมื่อเส้นผมงอกออกมาจากรูขุมขนแล้ว เราจำเป็นต้องดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อราและสิ่งสกปรกเข้าไปทำร้ายเส้นผม ทำให้เส้นผมโดนทำร้ายจนอ่อนแอและหลุดร่วงไปก่อนเวลา ซึ่งการทำความสะอาดจะต้องใช้ยาสระผมที่อ่อนโยนต่อผมและหนังศีรษะ ทำการสระผมวันละ 1 ครั้งและเป่าผมให้แห้งทุกครั้งหลังสระผม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ 
  3. การบำรุงเส้นผม การเร่งความยาวเส้นผมให้ยาวขึ้น คุณจะต้องเพิ่มอาหารให้กับเส้นผมอยู่เสมอ โดยการใช้ครีมนวดผม เซรั่มบำรุงผมหรือทรีตเม้นต์บำรุงผมเป็นประจำทุกครั้งหลังจากสระผม เพื่อให้ผมได้รับสารอาหารเข้าไปบำรุงอย่างทั่วถึง เมื่อเส้นผมได้รับสารอาหารที่เพียงพอจากการบำรุงย่อมมีการเจริญเติบโตที่มากขึ้นและคงอยู่บนศีรษะของเรานานขึ้น แบบนี้ผมยาว ๆ ก็จะอยู่กับเรานานขึ้นไปอีก 

จะเห็นว่าหากต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้น เป็นเรื่องที่ไม่ยากและเราสามารถทำได้ด้วยตนเอง ด้วยการดูแลรากผมให้แข็งแรง ทำความสะอาดและบำรุงเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ผมของคุณก็จะยาวเร็วขึ้นอย่างแน่นอน 


เคล็ดลับเร่งผมยาว  วิธีทําให้ผมยาวเร็ว

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว

การเพิ่มอาหารให้กับเส้นผมถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น ซึ่งสารอาหารที่ช่วยให้ผมยาวมีอยู่หลายชนิด แต่ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าช่วยเร่งผมยาวอย่างได้ผลก็คือ คอลลาเจน โดยประโยชน์ของคอลลาเจนต่อเส้นผมมีดังนี้

  1. ช่วยป้องกันผมร่วง คอลลาเจนมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่เข้าไปยับยั้งการทำงานของอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำร้ายเส้นผมอย่างได้ผล เรียกว่าเป็นเกราะป้องกันชั้นดีสำหรับเส้นผม ป้องกันปัญหาผิวที่ทำให้ผมร่วง ผมบางได้เป็นอย่างดี
  2. เพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม เส้นผมมีองค์ประกอบของโปรตีนเป็นหลัก ซึ่งคอลลาเจนก็เป็นหนึ่งในโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเส้นผม เมื่อร่างกายมีคอลลาเจนทีเพียงพอจึงทำให้เส้นผมมีความแข็งแรง เงางาม มีน้ำหนักและยาวเร็วขึ้น ดังนั้นหากต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้นจะต้องกินอาหารที่มีคอลลาเจนสูง ๆ หรือเลือกกินอาหารเสริมคอลลาเจนเป็นประจำ

เมื่อรู้ว่าคอลลาเจนมีประโยชน์ช่วยเร่งให้ผมยาวเร็วขึ้นได้ แบบนี้รับประทานคอลลาเจนอย่าให้ขาดกันนะ แล้วผมของคุณจะยาวสลวยแบบที่ใครเห็นต้องร้องว้าว !!! แน่นอน


วิธีการดูแลเส้นผม

 

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว
เมื่อผมยาวได้ดังใจแล้ว การรักษาผมให้มีเงา นุ่มและมีน้ำหนักก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากผมยาวแต่สุขภาพไม่ดี ย่อมไม่เป็นที่ต้องการ ซึ่งการจะทำให้ผมดูดีเรามีวิธีการดูแลเส้นผมดังนี้
  1. สระผมเป็นประจำ ควรทำการสระผมทุกวันหรือวันเว้น เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนหนังศีรษะให้หมดไป 
  2. เลือกยาสระผมสูตรอ่อนโยน เพื่อความปลอดภัยของเส้นผมและหนังศีรษะ ควรเลือกใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยนต่อหนังศีรษะและเส้นผม เพราะยาสระผมที่มีสารเคมีรุนแรงจะทำให้ผมเสียได้ง่าย
  3. นวดหนังศีรษะทุกครั้งที่สระผม การนวดหนังศีรษะเป็นการกระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงรากผมให้มากขึ้น เพราะความเครียด สิ่งสกปรกและมลพิษต่าง ๆ จะทำให้เลือดมาเลี้ยงรากผมได้น้อย ทำให้รากผมอ่อนแอ ซึ่งการนวดหนังศีรษะขณะสระผมจะช่วยให้รากผมแข็งแรงมากขึ้น 
  4. บำรุงผมทุกครั้ง หลังสระผมควรทำการบำรุงผมด้วยครีมนวด เซรั่มหรือทรีตเมนต์เป็นประจำ เพื่อให้ผมได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ 
  5. หวีเบา ๆ การหวีผมควรหวีเบา ๆ ให้ทั่วหนังศีรษะ อย่าหวีรุนแรง เพราะจะทำให้ผมขาดร่วงและหนังศีรษะเกิดการอักเสบได้ และควรเลือกหวีที่เป็นปุ่มเล็ก ๆ ที่บริเวณปลายหวี เพื่อใช้เป็นตัวนวดและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบนศีรษะด้วย

จะเห็นว่าการดูแลเส้นผมนั้นไม่ยากเลย และเมื่อคุณดูแลเส้นผมอย่างดีแล้ว เส้นผมของคุณก็จะยาวเร็วขึ้น มีน้ำหนัก แลดูเงางามแบบที่คุณต้องการอย่างแน่นอน


ที่มา

https://www.watsons.co.th/

https://www.pobpad.com

Categories
BEAUTY

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร ? อาการและการรักษา

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร ? อาการและการรักษา

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร ? ปัญหาเรื่อง “ผมร่วง” เป็นอีกหนึ่งความกลุ้มใจของคนหนุ่มสาวหลายคน ที่มีปัญหานี้ก่อนวัยอันควร รวมไปถึงคุณผู้ชายหลายคนที่มีเรื่องผมล้านให้กลุ้มใจ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าการที่ ผมร่วง อาจจะดูไม่ร้ายแรงมากเท่าไหร่ แต่ในมุมของแพทย์ หรือ โรคภัยไข้เจ็บ ความผิดปกติทางร่างกายเช่นนี้ อาจจะส่งผลต่อร่างกายในอนาคตได้อีกด้วย นอกจากกรณีของโรคอื่นแล้วนั้น อาการผมร่วงก็มีหลากหลายสาเหตุที่ทำใหเจ้าสิ่งนี้โผล่ขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าวันนี้พวกเราได้หาคำตอบมาบอกกับทุกคนแล้ว กับ สาเหตุของผมร่วง รวมไปถึงอาการที่เป็น ว่าหนัก หรือ เบา และเรื่องสุดท้ายคือ ข้อมูลการรักษา พร้อมกับคำแนะนำที่จะเพิ่มให้เกี่ยวกับการรักษาที่ถูกต้อง อ้างอิงได้กับข้อมูลจากโรงพยาบาล รวมไปถึงข้อที่ควรรู้ และ การปฏิบัติตัวของคนผมร่วง ที่ต้องสู้กับความจริง ส่วนรายละเอียดเรื่องทั้งหมดจะน่าสนใจอย่างไร ติดตามกันต่อได้เลยในบทความนี้


สาเหตุของผมร่วง

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร

เรื่องราวของเส้นผม มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก สำหรับสาเหตุของผมร่วง ก็มีมากมายหลายปัจจัยเช่นเดียวกัน ซึ่งปัญหานี้คือเรื่องใหญ่สำหรับคนไทย รวมไปถึงคนทั่วโลกอีกด้วย มีคนจำนวนมากประสบปัญหานี้ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผมร่วงขณะอาบน้ำ หรือ ทุกครั้งที่หวีผม ก็มักจะมีเส้นผมติดตามมาด้วย ซึ่งสาเหตุจะมีเรื่องสาเหตุที่เป็นกันได้แบบไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรือ อีกสาเหตุคือเรื่องของการได้รับสารเคมี และ อีกสาเหตุคือผมร่วงจากพฤติกรรม รวมทั้งพฤติกรรมของตัวเอง ซึ่งจะเป็นเรื่องใดบ้างนั้นติดตามอ่านกันต่อได้เลย

1.สาเหตุผมร่วงที่เลี่ยงไม่ได้

ด้วยปัจจัยในด้านที่ไม่สามารถเลี่ยง หรือ หนีจากผมร่วงได้ ก็คือสาเหตุที่มาจากพันธุกรรมของพ่อ แม่ จากรุ่นสู่รุ่น ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ รวมไปถึงอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น โรคทางผิวหนัง DLE หรือ โรคทางภูมิคุ้มกันอย่าง SLE ที่รู้จักกันในนาม “โรคพุ่มพวง” หรือ “แพ้ภูมิตัวเองนั่นเอง” หรือผู้ป่วยในภาวะโลหิตจาง ที่มีผลมาจากพันธุกรรม อีกทั้งไม่ทราบ หรือ รู้ตัวมาก่อนว่าจะเป็นโรคเหล่านี้ และนี่คือปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้

2.สาเหตุผลร่วงที่ได้รับสารเคมี ติดเชื้อ

ปัจจัยเหล่านี้ คือ การที่มนุษย์ได้รับสารเคมี ตัวอย่างเช่น การฉายรังสี ทำคีโม ก็ส่งผลโดยตรงให้เส้นผมร่วงได้ หรือ การได้รับสารเคมีจากยา การแพ้ยา หรือ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ทำให้ผมร่วง แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็จะต้องสอบถามคุณหมอ หรือ มีคำแนะนำจากยาบางตัวที่มีผลทำให้ผมร่วงโดยตรงอีกด้วย 

ส่วนสาเหตุที่มาจากการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อจากการผ่าตัด, การติดเชื้อรา,ซิฟิลิส,เอชไอวี รวมไปถึงเชื้อเริม หรือ เชื้ออื่น ๆ ที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการผมร่วงนั่นเอง กลุ่มนี้เกือบเป็นกลุ่มที่ถือว่าเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ต้องจัดอยู่ในหมวดนี้เพราะเป็นการติดเชื้อจากโรคต่าง ๆ

3.สาเหตุผมร่วงจากพฤติกรรม

อย่างที่รู้กันดีกว่า เส้นผมของบางคนมีความบอบบางเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับ DNA ของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกันอยู่แล้ว บางครั้งการที่ผมร่วงอาจจะเกิดจากพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำอย่างเช่น การม้วนผมด้วยที่ม้วนผม การมัดผมหางม้า การถักเปียแบบติดหนังศีรษะ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ผู้มัด อาจจะดึงรั้งเส้นผมจนแน่นเกินไป 

หรืออีกประเภทคือ ปัญหาทางจิตใจสำหรับผู้ป่วยจิตเวทบางราย อาจจะมีอาการทำร้ายตัวเอง ด้วยการดึงผม หรือ บิดม้วนผมเองจากการกระทำของตนเอง แน่นอนว่าส่งผลไม่ดีต่อเส้นผมเป็นอย่างมาก 


การแบ่งประเภทของผมร่วง

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร

“ผมร่วง” มีการแบ่งประเภทออกเป็นดังต่อไปนี้ 

-ผมร่วงแบบ Scarring หรือ ประเภทเซลล์รากผมถูกทำลาย เรียกอีกอย่างว่า ผมร่วงอย่างถาวร โดยจะพบได้บ่อยสุดก็คือโรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง และ โรคเชื้อราที่หนังศีรษะ 

ผมร่วงแบบ Non Scarring หรือ ประเภทเซลล์รากผมยังไม่ถูกทำลาย เรียกอีกอย่างว่า ผมร่วงเป็นหย่อม วงกลม หรือ วงรี จะเกิดจากกระบวนการภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่มาทำลายเซลล์รากผมของตัวเอง ซึ่งประเภทผมร่วงแบบนี้ รักษาหายได้ เพราะเซลล์รากผมยังไม่ถูกทำลาย แต่ถ้าไม่รับการรักษา จะกลายเป็นผมร่วงอย่างถาวรได้เช่นเดียวกัน 


อาการของผมร่วง

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร

อาการนี้ตรงตัวกับความหมายของคำ ก็คือ จะมีผมที่ร่วง สังเกตได้จากผมที่บางลง หรือ จุดที่เกิดเป็นหย่อม แต่ในส่วนของการเกิดผมร่วงที่พบบ่อย จะเป็นผู้ชาย เพราะมาจากกรมมพันธ์ โดยผมจะร่วงที่ด้านหน้าผาก กลางศีรษะ รวมทั้งข้างหู ส่วนในผู้หญิงจะเกิดแบบค่อย ๆ หลุดร่วงจนผมบางลงไปเอง โดยอาการผมร่วง จะเป็นสัญญาณเตือนโรคภัยของตัวเอง เพราะในร่างกายต้องมีเรื่องที่ผิดปกติอย่างแน่นอน 


ผมร่วงสัญญาณเตือนจากโรค

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร

การที่เกิดเหตุการณ์ผมร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นคุณผู้ชาย หรือ คุณผู้หญิง แน่นอนว่ามันเป็นสัญญาณเตือนจากโรคร้ายแรงต่าง ๆ มากมาย ที่กำลังอาจจะก่อตัวเกิดขึ้น ซึ่งถ้ารักษาตัวไม่ทันชีวิตดี ๆ ของคุณอาจจะเปลี่ยนไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งอาการผมร่วง จะเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัยต่าง ๆ เหล่านี้

1.โรค Lupus หรือโรค SLE

สำหรับโรคนี้สาว ๆ คนไหนก็ไม่อยากเป็น เพราะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เพียงแค่บรรเทาให้อาการคงที่เท่านั้น โดยจุดที่น่ากลัวคือ ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายทำลายตัวเอง โดยโรคนี้อาจจะมีอาการผมร่วงทั่วศีรษะ อีกทั้งเกิดเป็นแผลร่วมด้วยนั่นเอง 

2.โรคเรื้อรัง อย่าง ซิฟิลิส โรคตับ โรคไต

ถือได้ว่าเป็นโรคร้ายแรง ที่อวัยวะภายใน หรือ การติดเชื้อนี้ อาจจะส่งผลให้เกิดอาการผมร่วงได้ โดยเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายไม่ปกติ

3.โรคโลหิตจาง หรือ โรคเลือด

สำหรับโรคนี้ไม่ได้น่าเป็นห่วงเท่าที่ควร เพราะผมร่วงอาจจะเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ดังนั้นเมื่อบำรุงตัวเอง หรือ รักษาสุขภาของ ก็จะดีขึ้นตามลำดับ 

4.โรคไทรอยด์

ผมร่วงจากโรคนี้ มีสาเหตุที่รากผมนั้นอ่อนแอ หนังศีรษะจะมัน เพราะร่างกายจะขับไขมันออกจากทางผิวหนังเป็นอย่างมาก 

อย่าเพิ่งตกใจไป กับ รายการของโรคเหล่านี้ ถ้าคุณมีอาการผมร่วงต้องสังเกตจุดเปลี่ยนแปลงต่อไปในอนาคต ที่สำคัญ ถ้ามีปัญหาที่ดูแปลกให้ปรึกษาแพทย์ในทันที แต่อาจจะเน้นย้ำความแม่นยำ ให้แพทย์ที่เก่งเฉพาะทางผิวหนังช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาให้ 


การดูแลรักษาและป้องกันผมร่วง

ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร

การรักษาอาการผมร่วง ไม่ใช่เรื่องที่จะการันตีได้ 100% ว่าจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก ดังนั้นจึงมีการใช้ยาหรือ แชมพู ในการกำจัดเชื้อราที่ศีรษะ รวมไปถึงการฉีดสเตียรอยด์ รวมทั้งการผ่าตัด ที่แบ่งออกเป็น การปลูกผม โดยการนำเส้นผมจากด้านหลัง กับ ด้านข้างศีรษะ มาปลูกบริเวณที่ศีรษะล้าน นี่แหละคือการรักษาเบื้องต้น ดังนั้นเมื่อในเคสที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะนำเข้าวินิจฉัยอีกครั้งเพื่อตอบกลับมาว่า คุณเป็นคนผมร่วงประเภทไหน ? 

สำหรับการป้องกันให้ผมไม่ร่วงนั้น ทุกคนทำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยรักษา มีประวัติผมร่วงหมดทั้งศีรษะ โดยพฤติกรรมในความเป็นอยู่ในชีวิตก็ส่งผลมากที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ ดังนั้นพวกเราจึงได้รวบรวม 3 วิธีการปกป้องผมร่วง 

1.ลดความเครียดลง

ซึ่งแน่นอนว่าความเครียดนั้นมีกันอยู่ทุกคน แต่เพียงแค่คุณเองสู้ไปกับชีวิต ไม่ว่าจะความเครียดไหน ๆ ส่งผลไม่ดีกับทุกคนแน่นอน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เกิดเหตุการณ์ ควรจะผ่อนคลายในทุกครั้งไป เพื่อไม่ยึดติดอยู่กับสิ่ง ๆ นั้น 

2.รับประทาน อาหารที่มีประโยชน์

อาหารการกิน หลังจากที่บอกไปแล้วว่าอาหารนั้นสำคัญมากในทุกเรื่อง ดังนั้นแล้วการปรุงอาหารควรสุก อีกทั้งเมื่อจะกินอะไรต้องสังเกตให้ดีว่า จะไม่ส่งผลกระทบกับร่างกายของเรา

3.พบแพทย์

สิ่งที่คนผมร่วงทุกคนเจอก็คือ อาจจะสันนิษฐานไปต่าง ๆ นานา แต่ครั้งนี้แนะนำดีกว่าให้พบแพทย์ เพื่อสแกนอาการที่เป็นไปได้ นอกจากผมร่วงธรรมดา ไม่สบายใจต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน 


ดังนั้นแล้วแพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคได้จากเส้นผมที่หลุดร่วงมา เพื่อตรวจ รวมไปถึงหนังศีรษะด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งการทดสอบร่างกายแบบดึงผม อย่างที่เราได้เรียนรู้กันแล้วในบทความนี้ว่า “อาการผมร่วง” ถือได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาติของเรา ตัวคุณผู้ชายเองก็ต้องยอมรับในกรณีที่จะกลายเป็นคนหัวล้าน ส่วนทางด้านอาการต่าง ๆ ในวันนี้พวกเราได้รวบรวมข้อมูลมาฝากกันอย่างละเอียด เข้าใจง่าย อีกทั้งยังมีคำแนะนำดี ๆ ทั้งในด้านของการรักษา และ การป้องกัน คราวนี้ก็อยู่ที่วินัยของผู้ปฏิบัตินั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี่ก็คือบทความ “ผมร่วงเกิดจากสาเหตุอะไร? อาการและการรักษา”

อ้างอิงจาก : 

ระวัง! ผมร่วง สัญญาณเตือนจากโรค – Chiang Mai News : https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/896885/

ผมร่วง – อาการและการรักษา – ผิวหนัง | โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (bumrungrad.com) : https://www.bumrungrad.com/th/conditions/hair-loss

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (mahidol.ac.th) : https://www.si.mahidol.ac.th/Th/healthdetail.asp?aid=405

Categories
BEAUTY SHOPPING

10 อันดับยาลดน้ำหนักที่ดีที่สุดในปี 2022 ยี่ห้อไหนดีที่ปลอดภัย ได้ผลจริง

10 อันดับยาลดน้ำหนักที่ดีที่สุดในปี 2022 ยี่ห้อไหนดีที่ปลอดภัย ได้ผลจริง

แม้ว่าเทรนด์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 เริ่มมีการสนับสนุน #RealSizeBeauty มากขึ้นหลังจากที่ Miss Universe Thailand 2021 ได้นิยามไว้ว่าไม่ว่ารูปร่างแบบไหนก็สามารถสวยได้ แต่เชื่อได้เลยว่ามีผู้หญิงอีกเป็นจำนวนมากที่ยังอยากมีหุ่นผอมเพรียวไซส์เล็กอยู่ เพราะความอ้วนก็อาจทำให้บางคนเกิดความไม่มั่นใจเวลาแต่งตัว ถ่ายรูป หรือไม่อยากเป็นโรคที่เกิดจากการมีน้ำหนักเกิน เช่น โรคเบาหวาน, โรคความดัน หรือไขมันในเลือดสูงได้

แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าการลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องอาศัยความมีวินัยทั้งด้านการกิน, การใช้ชีวิตประจำวัน, การออกกำลังกาย และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่จะช่วยทำให้น้ำหนักลดลง จึงเห็นผลค่อนข้างช้าจนหลายคนเริ่มเครียดทำให้น้ำหนักไม่ลงแถมยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย ปัจจุบันนี้หลายคนจึงต้องใช้ตัวช่วยอย่าง ‘ยาลดน้ำหนัก’ เพื่อช่วยในการปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

วันนี้แอดมินจึงได้รวบรวม 10 อันดับยาลดน้ำหนักที่ดีที่สุดในปี 2022 มาให้สาว ๆ ได้ลองมาดูเป็นตัวเลือกกันว่าตัวคุณเองเหมาะกับยาลดน้ำหนักประเภทไหนหรือยาลดน้ำหนักของดารามีตัวไหนบ้าง โดยแต่ละแบรนด์นั่นเคลมมาว่าลดได้จริงและเป็นยาลดความอ้วนไม่ก่อให้เกิดอาการโยโย่อีกด้วย

ยาลดน้ำหนักใน 7-11 กับที่อื่นแตกต่างกันอย่างไร

ยาลดน้ำหนักใน 7-11 รวมถึงตามแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ทั่วไปอย่าง lazada หรือ Shoppee ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ เนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นเป็นเพียงแค่พื้นที่วางจำหน่ายสินค้าในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เพราะส่วนใหญ่แล้วยาลดความอ้วนหรืออาหารเสริมลดความอ้วนแต่ละแบรนด์ที่วางขายตามร้านต่าง ๆ ก็จะมีหลากหลายประเภทให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรกัน คุณสามารถเลือกให้ตรงตามความต้องการของคุณได้โดยหลัก ๆ แล้วจะมี 7 ประเภทดังนี้

  1. ยาช่วยลดความอยากอาหาร : ยาประเภทนี้จะมีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์กับระบบประสาทส่วนกลางในร่างกายของคนเราเพื่อช่วยลดความอยากอาหารและสามารถใช้ในการควบคุมอาหารของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะคอเลสเตอรอลสูงได้ แต่เนื่องจากยาประเภทนี้มีฤทธิ์กดระบบประสาทจึงอาจทำให้มีอาการปากแห้งหรือใจสั่นได้
  2. ยาดักจับไขมัน : โดยปกติแล้วก่อนที่ร่างกายคนเราจะดูดซึมไขมันเข้าไปได้ไขมันเหล่านั้นต้องถูกย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนเหมือนโดนกรรไกรตัด ยาประเภทนี้จึงเข้าไปจับขากรรไกรไม่ให้ตัดไขมัน ร่างกายจึงไม่สามารถดูดซึมไขมันได้และมันจะถูกถ่ายออกมาทันทีคุณจึงอาจสังเกตได้ว่าตอนถ่ายจะมีคราบมัน ๆ ออกมาด้วย
  3. ยาช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ : ผู้ที่รู้สึกว่าพยายามลดน้ำหนักแต่น้ำหนักไม่ยอมลด หรือรับประทานอาหารน้อยแต่น้ำหนักหลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม นั่นอาจจะเป็นเพราะระบบเผาผลาญในร่างกายเสื่อมจึงต้องได้รับการกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งยาประเภทนี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายของคุณให้ทำงานอย่างเป็นปกตินั่นเอง
  4. ยากระตุ้นการขับถ่าย : ยาลดความอ้วนประเภทนี้หลายคนจะคุ้นกันในชื่อ ‘ดีท็อกซ์’ ซึ่งเป็นการช่วยล้างลำไส้แก้ปัญหาท้องผูก โดยมันจะทำงานด้วยการกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายออกมาทำให้ช่วยลดปัญหาอุจจาระไม่ออก, ลดน้ำหนัก, ช่วยลดความเสี่ยงตต่อมะเร็งลำไส้ และอาจมีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นได้เนื่องจากลำไส้สะอาดมากขึ้น

ยาลดน้ำหนักได้ผลจริง ควรมีส่วนผสมดังต่อไปนี้

ยาลดน้ำหนักที่ปลอดภัย ได้ผลจริง ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบจากธรรมชาติผสมอยู่ด้วย ซึ่งสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยลดน้ำหนักก็มีอยู่หลายชนิด อาทิเช่น

  • สารสกัดจากชาเขียว

สารสกัดชาเขียวมีสรรพคุณมากมายหลายอย่างทั้งช่วยลดการสร้างไขมัน, ลดการดูดซึมไขมัน, ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ฯลฯ ซึ่งในชาเขียวก็ยังมีสารคาเฟอีนอยู่ด้วยเช่นกันมันจึงไปช่วยกระตุ้นอุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้นทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นจึงช่วยให้น้ำหนักตัวคุณลดได้นั่นเอง

  • สารสกัดจากพริกไทยดำ

สารสกัดพริกไทยดำมีรสชาติที่เผ็ดร้อนเพราะมีสารพิเพอร์รีน (piperine) ซึ่งสารตัวนี้จะช่วยทำหน้าที่ควบคุมการก่อตัวของไขมันใหม่และยังช่วยทำลายไขมันเก่าที่สะสมอยู่ในร่างกายได้อีกด้วยจึงส่งผลทำให้น้ำหนักตัวน้อยลง

  • สารสกัดจากกระบองเพชร

สารสกัดกระบองเพชรมีคุณสมบัติสำหรับการช่วยลดไขมันที่จะถูกดูดซึมเข้ามาในร่างกาย เพราะสารสกัดจากพืชชนิดนี้มีเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำช่วยทำหน้าที่ในการดักจับไขมันและเส้นใยที่ละลายน้ำช่วยสร้างเจลขึ้นมาเพื่อห่อหุ้มไขมันเหล่านั้นและมันจะถูกขับออกเป็นกากอาหารทำให้ช่วยลดไขมันในร่างกายได้

  • สารสกัดเบอร์รี่สีม่วง

สารสกัดเบอร์รี่สีม่วงจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงและแคลลอรี่ต่ำ ดังนั้นแล้วสารสกัดจากผลไม้ชนิดนี้จึงทำให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น ไม่หิวง่าย และยังช่วยในด้านของระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น สารสกัดชนิดนี้จึงช่วยลดความอ้วนได้

  • สารสกัดจากทับทิม

สารสกัดจากทับทิมเรียกได้ว่ามีสรรพคุณที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี โดยมันจะเข้าไปช่วยลดระดับไขมันที่สะสมอยู่ให้น้อยลงและอาจมีส่วนช่วยในการลดไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และลดไขมันในผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วย

กินยาลดความอ้วนอย่างไรให้ได้ผล

สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากลองกินยาลดความอ้วน, ยาลดน้ำหนัก หรืออาหารเสริมลดความอ้วนอยู่ คุณต้องทำความเข้าใจประเภทของยาที่คุณเลือกกินก่อนว่ามีการออกฤทธิ์แบบไหนและการใช้ยาเพื่อเป็นตัวช่วยก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถกินอาหาร Juke Food มากเท่าไหร่ก็ได้เหมือนกัน มาดูกันว่าคุณต้องกินยาลดความอ้วนอย่างไรให้ได้ผลหากต้องการไปให้ถึงหุ่นในฝันตามเป้าหมาย

  • เลือกยาลดความอ้วนที่ได้มาตรฐาน

สิ่งสำคัญอย่างแรกเลยหากจะกินยาลดน้ำหนักให้ได้ผลและปลอดภัย คุณต้องเลือกยาหรืออาหารเสริมลดความอ้วนที่ได้มาตรฐานที่มีการรับรองจาก อย. และอย่าลืมนำเลข อย. ไปเช็คด้วยว่าเป็นของจริงไหมโดนสวมหรือปลอมหรือเปล่า

  • รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ

แม้ว่าคุณจะกำลังลดน้ำหนักอยู่แต่ก็ควรกินอาหารให้ครบทุกมื้อไม่ควรอดอาหาร เพราะการที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องในขณะที่กินยาลดความอ้วนด้วยนั้นถือเป็นการไปทำร้ายระบบเผาผลาญ เมื่อเลิกกินยาแล้วกลับไปกินอาหารตามปกติสิ่งนี้จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าโยโย่เอฟเฟก์อีกด้วย ดังนั้นแล้วควรกินอาหารตามปกติหลังจากเลิกกินยาจะได้ไม่มีผลกระทบตามมา

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

ผู้ที่กำลังมีเป้าหมายในการลดน้ำหนักบางคนอาจจะกังวลเรื่องน้ำหนักตัวมากเกินไป ต้องชั่งน้ำหนักทุก ๆ ชั่วโมงแม้ในตอนหลังปัสสาวะก็ตามอาจเกิดความเครียดและทำให้นอนไม่หลับได้ ซึ่งการนอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอร่างกายจะหลั่งสาร Growth Hormone ที่จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญและยังมีฮอร์โมนแลปตินที่ช่วยระงับความหิวจึงทำให้น้ำหนักของคุณลดลงได้

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

หากคุณเป็นคนที่ชอบกินของมัน ของทอด หรืออาหารฟาสฟู๊ดเป็นชีวิตจิตใจ คุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อไปถึงเป้าหมายหุ่นในฝันให้เร็วขึ้น ซึ่งถึงแม้จะมีตัวช่วยอย่างยาลดความอ้วนแต่คุณก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายหุ่น อีกทั้งยังห่างไกลจากโรคร้ายด้วย

  • ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

หากคุณออกกำลังกายเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งแบบเบา ๆ ไม่ต้องหนักมากตามวิดีโอในยูทูบสักครั้งละ 15-30 นาทีเท่านั้นคุณก็สามารถมีหุ่นสวย ๆ ได้ ยิ่งคุณกินยาประเภทช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญพร้อมกับการออกกำลังกายไปด้วยมันก็จะยิ่งช่วยให้ร่างกายของคุณสามารถเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยเช่นกัน

10 อันดับยาลดน้ำหนักตัวไหนดี ที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจน และลดได้จริง!

1.อาหารเสริมลดน้ำหนัก Slenza

herworldthai-ยาลดน้ำหนัก-Slenza

อาหารเสริมลดน้ำหนักที่ขายดีตลอดกาล Slenza – สเลนซ่า เรียกได้ว่าเป็นยาลดน้ำหนักที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า เพราะได้นำเอาสารสกัดจาก Leptivate ประสิทธิภาพสูงลิขสิทธิ์เจ้าแท้เดียวจากประเทศอเมริกาและสารสกัดชาเขียวลิขสิทธิ์อย่าง Green Tea Extract (Innova Tea®) รวมไปถึงสารสกัดลิขสิทธิ์ Chitosan (Kionutrime-Bloc®) ที่ไม่มีใครสามารถทำซ้ำหรือลอกเลียนแบบได้

สเลนซ่า ผ่านการรับรองจาก อย. มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งความอยากอาหาร รู้สึกอิ่มเร็วกว่าที่เคยโดยไม่ต้องกินเยอะ กินน้อย หิวยาก ดูแลตั้งแต่ต้นเหตุของความอ้วน ช่วยในการดักจับไขมัน ลดความหิวก่อนนอน และยังมีไฟเบอร์หรือใยอาหารช่วยทำให้อิ่มไม่กินจุกจิกตอนกลางคืน ตัวเดียวครบ อยากผอมต้องลอง Slenza

จุดเด่น : มีส่วนผสมของ Leptivate ลดความอยากอาหารด้วยการควบคุมที่ฮอร์โมน และมีส่วนผสมของสารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract) สารสกัดจากพริกไทยดำ (Black Pepper Extract) L-Carnitine มีใยอาหารสูง

ราคา490 บาท
1 กล่องบรรจุ10 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้10 วัน
เลขที่ อ ย.11-1-13958-5-0202

2. อาหารเสริมดีท็อกส์ ลดน้ำหนัก Labelle

herworldthai-ยาลดน้ำหนัก-Labelle

หากไม่ค่อยแฮปปี้ที่ต้องพกแคปซูล ลองมาดูผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดีท็อกซ์ลำไส้ ยี่ห้อ Labelle สูตรนี้จะเลือกใช้สารสกัดจากพืชธรรมชาติมากถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะไฟเบอร์และใยอาหารต่าง ๆ เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากมีหุ่นดี ตื่นมาพุงยุบ ถ่ายคล่อง ด้วยสมุนไพรล้างสารพิษในลำไส้ เน้นสารสกัดอาหารเสริมที่ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ 100% เป็นหนึ่งในอาหารเสริมดีท็อกซ์ลดน้ำหนัก มี อย. ปลอดภัย ที่รับประทานแล้วได้ร่างใหม่แน่นอน กลิ่นหอมหวานและรสชาติของเหล่าส่วนผสมจากธรรมชาติทั้งจากผลไม้ วิตามิน สมุนไพรต่าง ๆ ช่วยให้ดื่มง่ายมาก ใครที่ท้องผูกจนพุงป่องต้องถูกใจเป็นพิเศษ ตัวนี้นอกจากจะช่วยล้างสารพิษในลำไส้แล้วยังช่วยให้ระบบขับถ่ายกลับมาทำงานได้ปกติ ที่สำคัญไม่มีส่วนผสมในการกดประสาท สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย ง่าย ๆ แค่ชง Labelle ก่อนนอนเพียง 1 ซองเท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงการกินคู่กับนมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท

จุดเด่น : มีส่วนผสมของสารสกัดจากกระบองเพชร ช่วยเผาผลาญสลายไขมัน สารสกัดเบอร์รี่สีม่วง มีใยอาหารสูง และวิตามินรวม ช่วยบำรุงผิวพรรณดูกระจ่างใส

ราคา 690 บาท
1 กล่องบรรจุ10 ซอง (15 กรัม)
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้10 วัน
เลขที่ อ ย.11-1-13958-5-0296

3. BodyKey (Amway) บอดี้คีย์ แอมเวย์

herworldthai-BodyKey-(Amway)

ยาลดน้ำหนักสำหรับผู้ชายที่ดีที่สุด BodyKey แบรนด์ที่น่าเชื่อถือจาก AMWAY เป็นโปรตีนลดความอ้วนมีหลายรสชาติให้เลือกทั้ง รสช็อกโกแลต รสวนิลลา และรสกาแฟ 1 กล่อง สามารถทานได้นานถึง 14 วัน ส่วนประกอบที่สำคัญ คือโปรตีน ใยอาหาร วิตามิน โปรตีนลดความอ้วน กินไปอิ่มไป ไม่หิว ไม่มีไขมัน นอกจากนี้ยังมีเกลือแร่ที่สำคัญต่างๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และมีส่วนช่วยในการขับถ่าย เพราะมีไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร ช่วยให้อิ่มด้วยโปรตีน เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการลดน้ำหนัก โดยไม่พึ่งพายาลดความอ้วน และแบรนด์ยังเคลมอีกว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ สามารถควบคุมและลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่น : มีส่วนผสมของโปรตีน ใยอาหาร วิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่างๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน มีส่วนช่วยในการขับถ่าย เพราะมีใยอาหาร ช่วยให้อิ่ม มีหลายรสชาติให้เลือก รสช็อกโกแลต รสวนิลลา และรสกาแฟ

ราคา 1,150 บาท
1 กล่องบรรจุ14 ซอง
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้14 วัน
เลขที่ อ ย.10-3-00745-1-0049

4.Amado R อมาโด้ อาร์

herworldthai-ยาลดน้ำหนัก amado R

ยาลดความอ้วนของคุณ เชน ธนา ที่ผลิตจากสมุนไพรส้มแขกจึงช่วยระบายและดีท็อกซ์แบบธรรมชาติ มีสาร HCA ที่มีคุณสมบัติช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินในขณะนอนหลับรวมถึงช่วยในเรื่องพฤติกรรมการกินทำให้อิ่มไวขึ้น ไม่อยากกินจุกจิก อมาโด้ อาร์ ยังมีสารสกัดจากแอปเปิ้ลที่มีใยอาหารสูง จึงช่วยเรื่องขับถ่ายเป็นอย่างดี ลดการดูดซึมไขมันน้ำตาล และช่วยขับสารพิษ กระบวนการผลิตปลอดภัยทุกขั้นตอน รองรับด้วยเครื่องหมายอย. กินได้อย่างสบายใจ

จุดเด่น : ผลิตจากสมุนไพรส้มแขก จะช่วยระบายและดีท็อกซ์แบบธรรมชาติ มีสารสกัดจากแอปเปิ้ล ใยอาหารสูง

ราคา590 บาท
1 กล่องบรรจุ10 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้10 วัน
เลขที่ อ ย.74-1-07455-5-0270

5. Chimz

herworldthai-ยาลดน้ำหนัก-ลดความอ้วน-Chimz

Chimz เป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก ที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติล้วน ๆ ซึ่งจะช่วยดูแลรูปร่างให้กระชับสมส่วน ควบคุมน้ำหนักได้ ชิมซ์เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่น้ำหนักลงยาก หรือลองวิธีอื่น ๆ มาแล้วไม่ได้ผล ส่วนผสมใน Chimz มีส่วนผสมมากกว่า 10 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น สารสกัดจากส้มแขก สารสกัดจากผงบุก สารสกัดจากกระบองเพชร ถั่วขาว โคเอนไซม์คิวเท็น เป็นต้น สารเหล่านี้จะช่วยลดไขมันส่วนเกิน เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ที่สำคัญคุณแม่หลังคลอด ยังสามารถใช้ได้ด้วย

จุดเด่น : มีส่วนผสมของสารสกัดต่างๆ มากกว่า 10 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น สารสกัดจากส้มแขก ผงบุก กระบองเพชร ถั่วขาว Coenzyme Q10 เป็นต้นรวมถึงมี CLA ที่มีสรรพคุณช่วยลดไขมันส่วนเกิน

ราคา550 บาท
1 กล่องบรรจุ10 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้10 วัน
เลขที่ อ ย.65-1-28760-5-0002

6.Ssure

Ssure เป็นยาลดน้ำหนักของดาราซึ่งก็คือคุณ นุ้ย สุจิรา โดยสโลแกนของผลิตภัณฑ์นี้ก็คือ Block Bright Burn Build Boost Balance คือจะช่วยยับยั้งแป้งและไขมันใหม่เข้าสู่ร่างกายด้วยสารสกัดจาก Green coffee bean ที่อุดมไปด้วยกรดคอลโลจีนิค ทำให้ลดการสะสมแป้งได้ดี และยังช่วยยับยั้งการสร้างไขมันพร้อมทั้งทำลายไขมันเก่าได้ด้วยจากสารสกัด Black Pepper ที่มีสาร Piperine นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจาก Capsicum ที่มีตัว Apsaisin ช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารในร่างกายได้ รวมถึงยังช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้เลือกหมุนเวียนได้ดีขึ้น

จุดเด่น : อุดมไปด้วยส่วนผสมจากสารสกัดมากมายทั้งจากธรรมชาติและกรดต่าง ๆ ที่ช่วยลดการสะสมของไขมัน รวมถึงยังช่วยในด้านของระบบเผาผลาญและปรับสมดุลของร่างกาย

ราคา599 บาท
1 กล่องบรรจุ15 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้7-15 วัน
เลขที่ อ ย.13-1-15859-5-0646

7. Clover Plus Chitosan

Clover Plus Chitosan

Clover Plus Chitosan เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักที่มีสารสกัดจากไคโตซานชนิดที่ดีที่สุดของใบโคลเวอร์จึงมีประสิทธิภาพในการช่วยดักจับไขมันได้สูง สามารถควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือดได้อย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายและต้องการควบคุมน้ำหนัก

จุดเด่น : มีส่วนประกอบของไคโตซานจากธรรมชาติชนิดที่ดีที่สุด โดยใน 1 แคปซูลจะประกอบไปด้วยไคโตซาน 500 MG ทำให้มีประสิทธิภาพในการช่วยดักจับไขมันได้อย่างดี

ราคา249 บาท
1 กล่องบรรจุ30 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้30 วัน
เลขที่ อ ย.10-1-17656-1-0008

8.Callox

Callox

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลล็อกซ์ ปลอดภัย ได้มาตรฐานการผลิตระดับโลกรวมถึงได้รับสิทธิบัตรรับรองจากเกาหลีในการรับประกันคุณภาพและมีเครื่องหมายฮาลาลรับรอง ซึ่งได้รับการคิดค้นจากผู้เชี่ยวชาญมากมายโดยได้นำสารสกัดจากธรรมชาติ 100% ไม่ว่าจะเป็น เห็ดแชมปิญอง, ผงหม่อน, สาหร่ายสีน้ำตาล, สารสกัดจากยีสต์ และเมล็ดกาแฟไม่คั่วมาช่วยช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มอัตราการเผาผลาญ ลดอายุเซลล์ในร่างกาย ยับยั้งการสะสมของไขมัน แป้ง น้ำตาล และไม่ใช้ยาเป็นส่วนผสม

จุดเด่น :  ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ 100% ในการช่วยดักจับไขมันจากอาหาร ชะลอการดูดซึมของแป้งและน้ำตาล รวมถึงช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันสะสมในร่างกาย

ราคา1,590 บาท
1 กล่องบรรจุ30 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้15-30 วัน
เลขที่ อ ย.74-1-07455-5-0370

9.Morosil XS

Morosil XS

Morosil XS ผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนักชื่อดังจากแบรนด์ Wink White ที่ได้มีการปรับปรุงสูตรใหม่ล่าสุดในปี 2021 ให้คุณเสกหุ่นเอสได้ดั่งใจด้วยสารสกัดจากส้มสายพันธุ์ Moro ที่ได้นำเข้าจากประเทศอิตาลี มีคุณสมบัติในการช่วยเผาผลาญไขมันเก่าและยับยั้งการเกิดไขมันใหม่ ขจัดกากอาหารของเสียในแต่ละวัน เพิ่มระบบการเผาผลาญให้กับร่างกาย และยังมีสารสกัดจากธรรมชาติอีกมากมาย อาทิเช่น ส้ม ทับทิม สารสกัดจากชาเขียว ไคโตซาน และผงกีวีสีทอง เป็นต้น 

จุดเด่น : เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มีการปรับปรุงสูตรใหม่ล่าสุดในปี 2021 โดยได้นำเอาสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดมายับยั้งด้านการเกิดไขมันใหม่และสลายไขมันเก่า ทานได้ทั้งคนที่ดื้อยาและไม่ดื้อยา

ราคา249 บาท
1 กล่องบรรจุ15 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้15 วัน
เลขที่ อ ย.11-1-10063-5-0008

10. Matane

Matane

Matane Dietary Supplement Product ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการใช้ยาลดน้ำหนักมาเยอะและดื้อยา หรือสำหรับผู้ที่อ้วนมาแต่กำเนิดก็สามารถรับประทานได้ โดยมีส่วนประกอบจาก L-Carnitine L-Tartrate ที่ช่วยลำเลียงไขมันเข้าไปใช้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้เกิดการนำไขมันไปใช้เป็นพลังงานจึงช่วยลดการสะสมของไขมันได้ และยังมีส่วนประกอบจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากทับทิม เปลือกสน เมล็ดองุ่น ส้มแขก ผงขิง และผงดอกคำฝอยที่ช่วยการอุดตันของไขมันในหลอดเลือดและช่วยลดความอยากอาหารได้

จุดเด่น : ผู้ที่ใช้ยาลดน้ำหนักมาเยอะหรือผู้ที่ดื้อยาสามารถรับประทานได้ เห็นผลจริง ด้วยสารสกัดจาก L-Carnitine L-Tartrate และสารสกัดจากธรรมชาติอีกหลายชนิดที่ช่วยลดการสะสมของไขมันและเปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้

ราคา240 บาท
1 กล่องบรรจุ10 แคปซูล
จำนวนวันที่สามารถรับประทานได้10 วัน
เลขที่ อ ย.76-1-17557-1-0061

ยาลดน้ำหนักทั้ง 10 แบรนด์ที่ได้กล่าวไปทั้งหมดนี้ก็เป็นกลุ่มยาประเภทที่แตกต่างกันทั้งในด้านคุณสมบัติและสารสกัดต่าง ๆ ที่สาว ๆ สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของร่างกายและวัตถุประสงค์ในการลดน้ำหนักของแต่ละคนได้เลย ซึ่งแบรนด์ทั้งหมดนี้เป็นอาหารเสริมลดความอ้วนมี อย. ได้ผลดีสุด และที่สำคัญอย่าลืมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดด้วยนะคะ

Categories
BEAUTY SHOPPING

เครื่องล้างหน้า ยี่ห้อไหนดี 5 ตัว ดีต่อผิว ช่วยลดสิว และริ้วรอย  

เครื่องล้างหน้า ยี่ห้อไหนดี 5 ตัว ดีต่อผิว ช่วยลดสิว และริ้วรอย  

( เครื่องล้างหน้า ยี่ห้อไหนดี 5 ตัว ดีต่อผิว ช่วยลดสิว และริ้วรอย )เครื่องล้างหน้า คือ ตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด ส่วนมากจะมาในรูปแบบของแปรงล้างหน้าที่มีทั้งแบบขนสังเคราะห์และขนซิลิโคน เพื่อทำให้การทำความสะอาดล้ำลึก ขจัดปัญหาคราบสกปรกและความมันที่อุดตันรูขุมขนได้ดี การใช้งานจะเป็นระบบอัตโนมัติแบบการชาร์จพลังไฟฟ้า เมื่อต้องการใช้เพียงแค่เปิดเครื่องก็จะสามารถล้างหน้าได้ทันที โดยที่ตัวแปลงจะทำความสะอาดผิวด้วยการสั่นสะเทือน ซึ่งเครื่องล้างหน้านั้นจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแปรงไฟฟ้า เพราะมีลักษณะเป็นแปลงที่ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เพื่อทำให้สามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างดีเยี่ยม

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน 5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน! 

เครื่องล้างหน้า

เครื่องล้างหน้า ดีไหม? สาวผิวแบบไหนที่ควรเลือกใช้   

เครื่องล้างหน้าหรือแปรงล้างหน้าไฟฟ้า มักจะถูกตั้งคำถามจากคนส่วนใหญ่ว่าใช้ดีจริงหรือไม่ แล้วการล้างหน้าด้วยมือตามปกติกับการล้างด้วยเครื่องนั้นแบบใดที่จะถือว่าดีกว่ากัน ซึ่งคำตอบจากผู้ที่เคยใช้จริงเมื่อใช้เครื่องล้างหน้าแล้วผิวหน้าจะสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผิวเรียบเนียนและการลงเมคอัพจะง่ายกว่าเดิม ทำให้เครื่องสำอางติดผิวดีกว่าการล้างด้วยมือ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิวอุดตันและสิวเสี้ยน เมื่อใช้เครื่องล้างหน้าแล้วส่วนที่มีปัญหาจะดีขึ้นและกลายเป็นผิวที่เรียบเนียนกว่าเดิม แต่การใช้ต้องระมัดระวังไม่ควรกดเครื่องลงหน้าแรงมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบได้

สำหรับการล้างหน้าด้วยมือนั้นให้ความสะอาดได้เช่นกัน แต่จะไม่เพียงพอต่อการดึงเอาความสกปรกต่างๆ ออกจากผิวและผิวบนฝ่ามืออาจจะเสียดสีกับผิวบนใบหน้าจนก่อให้เกิดปัญหาเรื่องริ้วรอยได้ง่ายอีกด้วย แต่สำหรับเครื่องล้างหน้านั้นจะเป็นแปลงที่มีความนุ่มนวล อ่อนโยน เมื่อนำมาหมุนวนบนผิวจะทำให้ตัวแปลงสามารถขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ในรูขุมขนได้อย่างดีเยี่ยมและช่วยกระตุ้นผิวหน้ากับระบบไหลเวียนเลือด จึงทำให้การล้างหน้ามีความสะอาดอย่างหมดจด  สามารถลงครีมบำรุงผิวต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม

ส่วนผู้ที่กำลังสงสัยว่าสาวผิวแบบใดที่ควรใช้ คำตอบ คือ สามารถใช้ได้กับสาวในทุกสภาพผิว เพียงแต่คุณจะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่เหมาะสมกับใบหน้าและใช้เครื่องแบบเบามือที่สุด ซึ่งเครื่องล้างหน้าของบางแบรนด์จะถูกทำขึ้นเพื่อให้สามารถใช้ได้แม้กระทั่งกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เพราะจะเน้นในเรื่องของการล้างทำความสะอาดผิวอย่างหมดจดแบบไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ใดๆ

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน หน้ากากอนามัยแบบผ้าดีไหม? วัสดุแบบไหนป้องกันโควิด-19 ได้จริง

เครื่องล้างหน้า 5 แบรนด์ 5 รุ่น ใช้แล้วดีต่อผิว ช่วยลดสิวและริ้วรอย  

สำหรับผู้ที่กำลังสนใจเครื่องล้างหน้าไฟฟ้าที่จะช่วยทำให้ผิวของคุณสะอาดอย่างหมดจด พร้อมทำให้ผิวรับครีมบำรุงได้ดีเยี่ยมกว่าเดิมและยังเป็นการช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่รู้ว่าควรเลือกเครื่องล้างหน้าแบบใดที่จะเหมาะสมต่อการใช้งานและเป็นเครื่องคุณภาพ ลองมาดูเครื่องล้างหน้า 5 แบรนด์ 5 รุ่น ที่ถูกการันตีจากเว็บไซต์ต่างๆ และผู้ใช้จริงว่าใช้แล้วดีต่อผิว ช่วยลดปัญหาสิวและริ้วรอยได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเราก็มีมาแนะนำให้สาวๆ ได้ทราบแล้วดังนี้ค่ะ

1.CLARISONIC

CLARISONIC

เครื่องล้างหน้าของ CLARISONIC จะโดดเด่นในเรื่องของการขจัดสิวอุดตันและสิวเสี้ยนอย่างหมดจด ทั้งยังช่วยลดการอักเสบของสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี การทำความสะอาดผิวของเครื่องล้างหน้าแบรนด์นี้จะเน้นขนแปรงที่มีความนุ่มและให้การกำจัดสิ่งสกปรกในระดับรูขุมขนอย่างล้ำลึก จึงทำให้ผิวหน้าใสและไร้สิว พร้อมลดอาการระคายเคืองของผิวด้วยขนแปรงที่มีความละเอียดนุ่ม สามารถขจัดคราบสกปรกจากไขมันบนใบหน้า, ฝุ่น, มลภาวะต่างๆ และเครื่องสำอางที่ตกค้างได้เป็นอย่างดี

สำหรับตัวเครื่องนั้นจะมีแปรงทรงกลมด้านบนและสามารถปรับระดับได้ มีลักษณะที่ใช้งานง่าย จับได้ถนัดมือ ใช้ในการล้างสิวเสี้ยนบนจมูกได้อย่างง่ายดาย เพราะขนแปรงมีขนาดเล็กจึงซอกซอนไปได้ทุกที่อย่างสะดวก สำหรับการใช้งานควรเปลี่ยนหัวแปรงทุก 3 เดือน เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในการล้างหน้าที่ดีเยี่ยมและไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคอีกด้วย

2.Kuron Mini Sonic Brush

Kuron Mini Sonic Brush

ถ้าคุณชอบใช้งานเครื่องล้างหน้าที่จับได้ถนัดมือ มีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก ขอแนะนำ Kuron Mini Sonic Brush ที่จะเป็นแปรงทรงกลมจับได้อย่างถนัดมือ โดยขนแปรงด้านบนมีความละเอียดและความนุ่ม สามารถซอกซอนไปได้ทุกพื้นที่บนใบหน้า จึงกําจัดสิวอุดตัน, สิวเสี้ยน และสิวหัวดำได้อย่างดีเยี่ยม สามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่าการล้างด้วยมือตามปกติถึง 6 เท่าด้วยกัน ขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ บนใบหน้าที่เป็นปัญหาของการอุดตันได้อย่างดีเยี่ยม ขนแปรงมาในแบบ Ultra Soft Nylon ที่มีขนาดเพียง 0.05 มิลลิเมตร จึงทำให้การทำความสะอาดล้ำลึกในระดับรูขุมขน

นอกจากนี้ ยังมีระบบการเตือนเพื่อเปลี่ยนจุดทำความสะอาดในทุกๆ 10 วินาที และจะหยุดการทำงานทันทีเมื่อครบ 1 นาที เพื่อทำให้การล้างหน้าใช้เวลาอย่างเหมาะสม ตัวเครื่องเป็นระบบกันน้ำในระดับมาตรฐาน IPX7 และมีระบบฆ่าเชื้อที่ขนแปรงด้วยแสงของ UV Sterilize ภายในตัว คุณจึงสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่เกาะอยู่ขนแปรง รุ่นนี้ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากเพราะช่วยทำให้ผิวใสขึ้น ทำให้การทาครีมบำรุงดีกว่าเดิมและยังช่วยประหยัดเวลาในการล้างหน้าอีกด้วย

3.Mirae Thermal Sonic Facial Brush

Mirae Thermal Sonic Facial Brush

เครื่องล้างหน้ารุ่นนี้จะมาพร้อมคลื่นความร้อน ที่จะทำให้การกำจัดสิ่งสกปรกบนใบหน้าง่ายมากยิ่งขึ้นและยังมีด้ามจับที่ทำให้การล้างหน้าสะดวกกว่าเดิม เป็นแบรนด์คุณภาพจากประเทศไต้หวันที่เมื่อคุณนำมาทำความสะอาดผิวแล้วจะสัมผัสได้ถึงผิวที่สะอาดหมดจด เนียนนุ่ม และกระจ่างใสขึ้น ส่วนขนแปรงจะเป็นซิลิโคนที่มีความนุ่มนวลและให้แรงสั่นสะเทือน 8,000 ครั้งต่อนาที จึงให้การทำความสะอาดผิวหน้าและรูขุมขนเป็นไปอย่างล้ำลึก

ส่วนขนแปรงจะเป็นทรงรีจึงทำให้สามารถทำความสะอาดผิวช่วงข้างจมูกหรือโซนต่างๆ แบบซอกซอนได้ทุกมุมของใบหน้า ทางด้านหลังของตัวแปรงจะสามารถนวดหน้าด้วยอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส จึงทำให้การทาครีมบำรุงซึมลึกมากกว่าเดิม ดังนั้น ซื้อเพียง 1 เครื่องแต่กลับใช้งานได้ถึง 2 แบบอย่างคุ้มค่า ตัวเครื่องมีคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่นได้ดี ทำความสะอาดง่าย ที่สำคัญคือราคาไม่สูงจนเกินไป

4.XiaoMi Inface Sonic Facial Cleansing Brush

XiaoMi Inface Sonic Facial Cleansing Brush

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ Xiaomi ก็สามารถวางใจได้ในเรื่องของคุณภาพ โดยเป็นเครื่องล้างหน้าขนาดเล็กกะทัดรัดที่ถูกทางค่ายเคลมว่าเป็นรุ่นอัจฉริยะและยังถือว่าเป็นรุ่นขายดีด้วยราคาที่ถูกมาก มาพร้อมกับเทคโนโลยีแบบ Dual Sonic ที่มีความทันสมัย ให้การทำความสะอาดผิวที่เป็นไปอย่างล้ำลึกและเลือกใช้ขนแปรงแบบซิลิโคนเกรดพรีเมี่ยมที่เป็นเกรดเดียวกับการใช้ทางการแพทย์ ให้ความยืดหยุ่นและนุ่มเนียน จึงใช้งานได้อย่างปลอดภัยต่อผิว

ตัวเครื่องปรับระดับความแรงของการทำความสะอาดได้ถึง 3 ระดับ มีขนแปรงถึง 3 รูปแบบให้เลือก เพื่อให้สามารถใช้งานบนผิวหน้าได้อย่างเหมาะสม ตัวเครื่องสามารถกันน้ำได้ในระดับ IPX7 ขนแบบซิลิโคนมีความนุ่มมาก จึงไม่ทำลายผิวหน้าและสามารถดึงสิ่งสกปรกออกมาได้จริง สำหรับแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนาน ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นที่มากับราคาเบาๆ นี้เอง XiaoMi Inface Sonic Facial Cleansing Brush จึงถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องล้างหน้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

5.Foreo Luna Go

Foreo Luna Go

เครื่องล้างหน้าขนาดพกพาของ Foreo Luna Go จากประเทศสวีเดน ถือว่าได้รับความนิยมแบบสุดๆ จากผู้หญิงทั่วโลก และยังเป็นต้นแบบของเครื่องล้างหน้าด้วยหัวแปรงแบบซิลิโคนรุ่นแรก จึงทำให้กลายเป็นแบรนด์ยอดฮิตมาจนถึงปัจจุบัน  โดยหัวแปรงซิลิโคนนั้นจะมาในรูปแบบของ Ultra-Hygenic ที่นอกจากจะมีความนุ่มนวลกับผิวหน้าแล้ว ยังช่วยลดการเกิดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อต่างๆ มีคุณสมบัติที่แห้งเร็วและเลือกใช้เทคโนโลยี T-Sonic ที่จะกำจัดสิ่งสกปรกต่างๆ คราบความมัน และเซลล์ผิวตายแล้วที่ติดมากับขนแปรงให้หลุดออกอย่างง่ายดาย

โดดเด่นด้วยการแจ้งเตือนเพื่อการเปลี่ยนจุดทำความสะอาดบนผิวหน้าจากโหมด Cleansing ที่จะทำให้คุณสามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างเหมาะสม มีระบบ Anti-Ageing ที่จะช่วยกระตุ้นผิวให้รับครีมบำรุงได้ดีกว่าเดิม จึงถือว่าเป็นเครื่องล้างหน้าแบบพกพาสารพัดประโยชน์ เมื่อใช้แล้วจะลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดีและยังช่วยยกกระชับผิวหน้าได้มากขึ้น สำหรับผู้ที่เคยใช้รุ่นนี้มาก่อนต่างก็การันตีว่าใช้ดีมาก ช่วยลดสิวอุดตัน ผิวใสขึ้น และยังทำให้ผิวดูฟู เปล่งปลั่งด้วยระบบ Anti-Ageing อีกด้วย

3 ขั้นตอนการใช้เครื่องล้างหน้า เพื่อผิวสะอาด ปลอดภัย ไร้สิว

สำหรับผู้ที่ตัดสินใจซื้อเครื่องล้างหน้ามาใช้ หนึ่งในเรื่องที่คุณควรทำความเข้าใจ คือ ขั้นตอนของการใช้เครื่อง เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผิวได้รับความสะอาดและความปลอดภัยไปพร้อมกับการไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิว ทั้งยังเป็นตัวช่วย กระตุ้นให้ผิวรับสารบำรุงได้ดีกว่าเดิม ดังนั้นลองดู 5 ขั้นตอนการใช้เครื่องล้างหน้าอย่างถูกต้องดังต่อไปนี้

1.แต้มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดลงผิว

ก่อนใช้งานเครื่องล้างหน้าให้คุณพรมน้ำบนแปรงเบาๆ เพื่อให้เนื้อแปรงนุ่มนวลขึ้นและไม่บาดผิวมากเกินไป จากนั้นแต้มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดลงบนผิวหน้าตามจุดต่างๆ เช่น หน้าผาก, ปลายจมูก, แก้มด้านในกับแก้มด้านนอกทั้งสองข้างและคาง จากนั้นนำแปรงล้างหน้ามาหมุนวนที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ทั่วทั้งใบหน้า

2.เปิดเครื่องแล้วกดลงผิวเบาๆ

เมื่อเปิดเครื่องเพื่อใช้งานแล้วให้ปรับแรงสั่นสะเทือนเบาที่สุด พร้อมการกดลงบนผิวอย่างนุ่มนวลและเบามือ ค่อยๆ หมุนตัวแปรงไปตามผิวแบบวนๆ ตามส่วนต่างๆ ของใบหน้า เพื่อให้เหมือนกับการนวดผิวไปในตัว ขั้นตอนนี้จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและชำระล้างสิ่งสกปรกภายในรูขุมขนได้ดีขึ้น ส่วนแรงกดที่ต้องเบามือเพื่อป้องกันเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าแตกจนอาจกลายมาเป็นปัญหาผิวได้

การล้างหน้าด้วยเครื่องล้างหน้า

3.วนแปรงบนผิวทุกส่วน

ใช้เครื่องล้างหน้าหมุนวนแปรงไปบนผิวทุกส่วนและทุกมุมบนใบหน้า โดยหมุนวนเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ จนครบ 3-5 นาที จากนั้นให้ล้างหน้าให้สะอาด คุณจะสัมผัสได้ถึงผิวที่นุ่มเนียนขึ้นกว่าเดิมแล้วซับน้ำด้วยผ้าขนหนูขนนุ่มๆ ให้ใช้การซับเท่านั้น ไม่ควรเช็ดแรงๆ เด็ดขาด เพราะผิวอาจระคายเคืองหรืออักเสบได้

5 ข้อควรระวังในการใช้เครื่องล้างหน้า

แม้ว่าเครื่องล้างหน้าจะมีประโยชน์ต่อผิวของสาวๆ เป็นอย่างมาก แต่ก็ย่อมมีข้อควรระวังในการใช้งาน เพื่อให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นและสร้างประโยชน์ต่อผิวคุณ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการใช้และไม่ทำร้ายผิว ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกซื้อเครื่องล้างหน้าไฟฟ้ามาใช้เพื่อผิวสวย คุณควรรู้ถึง 5 ข้อควรระวังในการใช้ดังต่อไปนี้

1.ไม่ควรใช้แบบหนักมือ

ในขณะที่คุณล้างหน้าด้วยเครื่องล้างหน้าไฟฟ้า คุณควรล้างอย่างเบามือมากที่สุด ไม่ควรใช้แบบหนักมือมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เส้นเลือดฝอยบนใบหน้าแตกและเกิดปัญหาผิวได้ทันที ดังนั้นจึงควรวางไว้บนผิวเบาๆ แล้วปล่อยให้เครื่องหมุนวนไปตามส่วนต่างๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อทำให้การล้างหน้ามีความสะอาดและไม่ทำร้ายผิวมากจนเกินไป

2.ไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวัน

การใช้งานเครื่องล้างหน้าไฟฟ้า ควรใช้เพียงแค่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวัน เพราะจะทำให้ผิวหน้าของคุณบางลงและอาจจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องผิวอักเสบได้ง่าย ดังนั้นจึงควรใช้เครื่องล้างหน้ากับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวแบบพิเศษ เช่น โคลนล้างหน้า, โฟมดีท็อกซ์ผิว และโฟมที่มีเม็ดบีทเม็ดเล็กในช่วงวันหยุดหรือเวลาว่าง เพื่อเป็นการทำความสะอาดไปพร้อมกับการผ่อนคลายผิวไปในตัว ส่วนวันธรรมดาควรใช้เป็นการล้างหน้าตามปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาผิวบางแล้วกลายเป็นผิวแพ้ง่ายได้ในอนาคต

3.ทำความสะอาดให้ถูกต้อง

ตัวเครื่องล้างหน้าไฟฟ้าต้องทำความสะอาดอย่างถูกต้อง โดยให้คุณดูจากรายละเอียดที่ติดมากับตัวเครื่องว่าควรทำความสะอาดแบบใดแล้วให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการสะสมของเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่จะติดอยู่บนขนแปรงได้ เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากไม่เช่นนั้นถ้าคุณใช้ในขณะที่ขนแปรงยังสกปรกและมีเชื้อต่างๆ ติดอยู่ ก็อาจจะยิ่งทำให้ผิวหน้าแย่ลงและต้องเผชิญปัญหาผิวหลากหลายอีกด้วย

การล้างหน้า

4.ใช้ในเวลาที่เหมาะสม

การใช้เครื่องล้างหน้าในแต่ละครั้ง ควรใช้ในเวลาที่เหมาะสมเพียงแค่ 3-5 นาทีต่อครั้ง ไม่ควรล้างนานไปกว่านี้ เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้ง่ายและอาจจะทำให้ผิวบางลงอย่างรวดเร็ว

5.ไม่ควรใช้ในบริเวณที่เป็นสิว

หากมีสิว แนะนำว่าไม่ควรใช้เครื่องล้างหน้าขัดถูในบริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะสิวอักเสบ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้อาการของสิวรุนแรงหนักขึ้นได้ ยกเว้นสิวหัวดำ และสิวเสี้ยนที่ควรใช้เครื่องล้างหน้าขัดถูบริเวณดังกล่าวแบบเน้นๆ เพื่อจะได้ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและขจัดสิวดังกล่าวให้หลุดออกได้อย่างล้ำลึก

6.เลือกเครื่องล้างหน้าที่ได้มาตรฐาน

ควรเลือกผลิตภัณฑ์เครื่องล้างหน้าไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หรือเลือกเป็นรุ่นที่ได้รับการการันตีจากผู้ใช้จริงว่าใช้แล้วดี ให้ความอ่อนโยนและล้างได้อย่างหมดจด มาพร้อมเทคโนโลยีคลื่นโซนิคที่มีความปลอดภัยสูง พร้อมด้วยคุณสมบัติของขนแปรงที่ควรจะมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียสะสม มีการทำความสะอาดง่ายและไม่ทำให้ผิวต้องเสี่ยงต่อเชื้อโรคต่างๆ อีกด้วย หากยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกด้วยวิธีแบบไหน นอกจากการอ่านรายละเอียดของคุณสมบัติและฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ แล้ว สาวๆ ยังสามารถศึกษาได้จากรีวิวต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อเพิ่มเติมได้ค่ะ

8 วิธีดูแลผิวหน้าให้สะอาดใสไร้สิวและริ้วรอย

การใช้เครื่องล้างหน้าเพื่อช่วยลดสิวและริ้วรอยอย่างได้ผลมากยิ่งขึ้นนั้น สาวๆ ควรปฏิบัติตามทิปส์การดูแลผิวเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ รับรองผิวหน้าจะสวยใส ไร้สิวและห่างไกลจากริ้วรอยมาเยือน เรียกว่าเป็นการดูแลผิวอย่างครบสูตรเลยนั่นเอง

1.ล้างหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ

ข้อนี้สำคัญอย่างมาก ยิ่งในช่วงที่ไวรัสโควิดและเชื้อโรคต่างๆ ระบาดอยู่รอบตัวเราเช่นนี้ด้วยแล้ว การหมั่นล้างหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะการล้างคราบเครื่องสำอางให้หมดจด ยิ่งถือเป็นพื้นฐานด่านแรกสู่การมีผิวสวยใสไร้สิวอย่างแน่นอน

2.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างเหมาะสม

หากคุณมีสภาพผิวแบบใดก็ควรเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวเช่นนั้นด้วยจะดีที่สุด เช่น หากเป็นสาวผิวแห้งก็ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมจากมอยส์เจอไรเซอร์อย่างเข้มข้น หากเป็นสาวผิวมันก็ควรเลือกสกินแคร์แบบสูตรไร้น้ำมัน (Oil free) เพราะสกินแคร์แต่ละชนิดล้วนผลิตมาเพื่อบำรุงผิวแต่ละสภาพที่แตกต่างกันนั่นเอง

การล้างหน้า-พักผ่อนให้เพียงพอ

3.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานง่ายๆ สู่การมีผิวหน้าสวยสุขภาพดี ดังนั้น ควรเข้านอนเร็ว ประมาณ 4 ทุ่ม เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ และยังซ่อมแซมผิวหรือส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หากนอนดึกหรือนอนไม่เพียงพอ สังเกตได้เลยว่าผิวหน้าจะทรุดโทรมและหมองคล้ำง่าย ริ้วรอยแห่งวัยก็จะมาเยือนรวดเร็วด้วย

4.ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 ลิตร

น้ำคือ ตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และยังช่วยปรับสมดุลผิวรวมถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากผิวได้รับน้ำเข้าไปเติมเต็มอย่างเพียงพอ ยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ทำให้เกิดการขับของเสียตกค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ง่ายๆ เท่านี้ผิวสาวก็จะสวยสดใส และไร้ความแห้งกร้านอันเป็นสาเหตุของเกิดริ้วรอยได้ง่ายแล้วค่ะ

5.ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

ครีมกันแดดเป็นเกราะป้องกันผิวชั้นเยี่ยมเลยก็ว่าได้ เนื่องจากรังสี UV ในบ้านเราพร้อมที่จะทำลายผิวให้หมองคล้ำ ทำให้เกิดสิวและริ้วรอยตามมาง่าย ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยปกป้องและถนอมผิวให้คงความสวยสดใสและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

6.สครับผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ทุก 28 วัน เซลล์ผิวของคนเราจะเกิดการผลัดเซลล์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการดังกล่าวก็ชะลอตัวลง หรืออาจจะหยุดการทำงานไปเลยก็มี ส่งผลทำให้ผิวคล้ำไม่สวยสดใส ดังนั้น สาวๆ จึงควรหมั่นสครับผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออก ช่วยเผยผิวใหม่ที่สดใสยิ่งกว่า แถมยังช่วยป้องกันการเกิดสิวและริ้วรอยได้อีกด้วย

มาส์กหน้า

7.มาส์กหน้าบ้าง

นอกจากการเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวแล้ว เท่านั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ สาวๆ จึงควรหาเวลามามาส์กหน้าบ้าง โดยอาจจะมาส์กก่อนนอน สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อเติมสารอาหารผิวให้เข้าไปบำรุงอย่างล้ำลึก ซึ่งการมาส์กหน้าจะช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสและเปล่งปลั่งในเวลาเร่งด่วนได้อย่างแท้จริง หมั่นทำแบบนี้เป็นประจำคู่กับการใช้เครื่องล้างหน้า รับรองเลยค่ะว่าผิวหน้าสาวๆ จะสวยสดใส ห่างไกลจากสิวและริ้วรอยชัวร์

8.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้หน้าพังทุกชนิด

ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ การกินอาหารหวานซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอย, การกินอาหารทอดๆ มันๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ง่าย, การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ตลอดจนความเครียดและการตากแดดเป็นประจำ เป็นต้น ปัจจัยเบื้องต้นเหล่านี้ล้วนทำลายผิวให้เสื่อมสภาพลงโดยเร็วทั้งสิ้น ดังนั้น ปรับพฤติกรรมของตนเองเสียใหม่ดีกว่า เพื่อที่ผิวสวยๆ จะได้คงอยู่กับเรานานๆ ยังไงล่ะ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาเครื่องล้างหน้าคุณภาพ สามารถตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างตรงใจที่สุด พร้อมทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาดอย่างล้ำลึก ให้ประโยชน์ต่อผิวและทำให้การลงครีมบำรุงต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  คุณสามารถเลือกใช้งาน 5 รุ่นจาก 5 แบรนด์นี้ที่จะเป็นตัวช่วยทำให้ผิวของคุณสะอาดอย่างสมบูรณ์แบบ

 

Categories
BEAUTY SHOPPING

แฮนด์ครีม ยี่ห้อไหนดี 10 ยี่ห้อ คืนความชุ่มชื้นให้ผิว ในสภาวะที่ต้องล้างมือบ่อยๆ

แฮนด์ครีม ยี่ห้อไหนดี 10 ยี่ห้อ คืนความชุ่มชื้นให้ผิว ในสภาวะที่ต้องล้างมือบ่อยๆ

( แฮนด์ครีม ยี่ห้อไหนดี 10 ยี่ห้อ คืนความชุ่มชื้นให้ผิว ในสภาวะที่ต้องล้างมือบ่อยๆ )ช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่สามารถติดต่อกันได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ ดังนั้นจึงต้องใช้เจลแอลกอฮอล์หรือเจลฆ่าเชื้อโรคเพื่อล้างมือบ่อยครั้ง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเมื่อต้องออกจากบ้าน แต่ถ้าต้องใช้เจลล้างมือเหล่านี้มากเกินไปก็อาจจะทำให้ผิวในส่วนของมือและนิ้วมือเกิดความหยาบกร้านได้ง่าย เนื่องจากถูกดึงความชุ่มชื้นออกไปพร้อมกับเชื้อโรคต่างๆ ดังนั้นวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือ การใช้แฮนด์ครีมหลังการล้างมือด้วยเจลต่างๆ ทุกครั้ง เพื่อทำให้ผิวยังคงชุ่มชื้นอยู่เสมอ

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน ล้างมือบ่อยๆ สำคัญอย่างไร

Hand Cream

แฮนด์ครีม คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

แฮนด์ครีม คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมือที่ให้ความชุ่มชื้นด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์และสารสกัดต่างๆ ที่จะเป็นตัวช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวของมือ เพราะมือกับนิ้วมือนั้นเป็นส่วนที่ต้องหยิบจับของต่างๆ เป็นจำนวนมาก จึงต้องผ่านการเช็ดมือและล้างมืออยู่เสมอ เมื่อต้องถูกล้างมือบ่อยครั้งจึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องผิวมือที่แห้งตึงและหยาบกร้าน เพราะถูกดึงความชุ่มชื้นออกจากผิว แฮนด์ครีมจึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและแก้ปัญหาผิวที่หยาบกร้านของมือได้เป็นอย่างดี พร้อมการช่วยดูแลเล็บให้มีความแข็งแรงมากขึ้น รวมไปถึงหนังหุ้มเล็บที่จะมีความแข็งแรงมากกว่าเดิม ไม่ลอกหรือเป็นแผลได้ง่าย

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน 10 แอลกอฮอล์เจลล้างมือ 70% ฆ่าเชื้อโรคได้จริง แถมมือนุ่มไม่แห้งกร้าน

แฮนด์ครีม มือแห้งกร้าน

นอกจากนี้ ในกลุ่มของคนทำงานออฟฟิศที่อยู่แต่ภายในห้องแอร์ มักจะทำให้ผิวเกิดความแห้งกร้าน ซึ่งแฮนด์ครีมนั้นจะถูกทำมาเพื่อเหมาะสมต่อผิวของมือโดยเฉพาะ ดังนั้น ถ้าคุณนำโลชั่นทาผิวหรือครีมบำรุงผิวในส่วนอื่นๆ มาทาแทนแฮนด์ครีม คุณจะสัมผัสได้ว่าจะแตกต่างกันอย่างมาก เพราะถ้าคุณใช้ครีมบำรุงผิวมาทามือจะให้ความรู้สึกของความเหนียวเหนอะหนะและมีความมันสูง จึงทำให้หยิบจับของแล้วอาจจะลื่นหลุดมือได้ง่าย แต่ถ้าเป็นแฮนด์ครีมโดยเฉพาะจะซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ให้ความชุ่มชื้นได้ดี แต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ จึงทำให้การหยิบจับของใช้เป็นไปอย่างคล่องตัว ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับผิวมือแต่จะทำให้เนียนนุ่มและเป็นผิวที่สวยมากขึ้นอีกด้วย

10 ยี่ห้อแฮนด์ครีมที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผิว ในสภาวะที่ต้องล้างมือบ่อยครั้ง

แฮนด์ครีมเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้ผิวของมือในสภาวะต้องล้างมือบ่อยครั้ง กลับมาคืนความชุ่มชื้นและมีบางสูตรใส่สารสกัดเพื่อทำให้ผิวสว่างกระจ่างใส จึงทำให้ผิวมือได้ทั้งความนุ่มเนียนและความสวยงามไปในตัว พร้อมทำให้เล็บและหนังหุ้มเล็บเกิดความแข็งแรง ลดปัญหาผิวลอก หยาบกร้าน เรียกได้ว่าเป็นการสร้างประโยชน์ต่อผิวมือ นิ้วมือ และเล็บได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าคุณกำลังมองหาแฮนด์ครีมคุณภาพจาก Drugstore และเคาน์เตอร์แบรนด์ ขอแนะนำ 10 ยี่ห้อแฮนด์ครีมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างตรงใจ ซึ่งก็มีดังนี้

1.SHISEIDO Urea 10% Hand Cream Hand and Feet

SHISEIDO

ถ้าพูดถึงครีมบำรุงมือและเท้าที่ติดอันดับต้นๆ ของ Drugstore ที่ญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่จะคิดถึง SHISEIDO Urea 10% Hand Cream Hand and Feet ที่เป็นตัวช่วยบำรุงทั้งผิวมือและผิวเท้าที่ไม่ว่าจะแห้งกร้านมากแค่ไหน ก็สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและดีเยี่ยม เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยลดปัญหาผิวมือแห้งกร้านและปัญหาการหลุดลอกของจมูกเล็บ พร้อมทำให้เล็บมีความแข็งแรงและลดปัญหาส้นเท้าแตกได้เป็นอย่างดี มาพร้อมเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นสูง สามารถดูดซับความชื้นภายในอากาศมาเก็บไว้ที่ผิวได้อย่างง่ายดายด้วยส่วนผสมของ Urea 10% และยังช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อทำให้ผิวใหม่มีความเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย

2.bsc Hand Cream

bsc Hand Cream

แฮนด์ครีมของ BSC ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากใน Drugstore ที่ญี่ปุ่น โดยมีหลากหลายกลิ่นให้เลือก เช่น กลิ่น Coconut , กลิ่นโลตัส, กลิ่น Peony และกลิ่น Siam Jasmine Rice ที่ให้กลิ่นหอมนุ่มละมุนมากับเนื้อครีมสูตรเข้มข้น ช่วยทำให้ผิวมือมีความนุ่มเนียนขึ้นจากสารสกัดธรรมชาติ ลดความหยาบกร้านของผิว ทั้งยังช่วยบำรุงเล็บให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนและซึมซาบลงสู่ผิวรวดเร็ว จึงไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งวันแบบปลอดภัย เพราะเน้นใช้สารสกัดจากธรรมชาติที่ผสมผสานกับสารต้านอนุมูลอิสระ, เชียร์บัตเตอร์ และวิตามินอีที่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างดีเยี่ยมและยังมีส่วนผสมของเคราติน ที่จะช่วยบำรุงทั้งผิวหนังหุ้มเล็บและเล็บให้มีความแข็งแรง ดูเป็นผิวกับเล็บสุขภาพดีอยู่เสมอ

3.Kose Hand Cream Q10

Kose Hand Cream Q10

Kose Hand Cream Q10 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์บำรุงผิวมือที่ติดอันดับต้นๆ ของ Drugstore เพราะมีส่วนผสมที่หลากหลาย พร้อมทำให้ผิวมือนุ่มเนียนและให้ประโยชน์ในเรื่องของผิวสวยกับผิวขาวสว่างใส โดยมีการแยกออกเป็นถึง 5 สูตร 5 สีด้วยกัน คือ

  • สูตรสีแดงจะเน้นเรื่องความขาวกระจ่างใสด้วยเนื้อครีมสูตรเข้มข้น ผิวมือมีความนุ่มเนียนและผิวสวยดูดี ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น พร้อมให้คุณสมบัติลดความเสื่อมของเซลล์ผิวมือ จึงให้ทั้งความชุ่มชื้น ลดความหยาบกร้าน และทำให้ผิวมือดูเต่งตึง สว่างใสไปพร้อมกัน
  • สูตรสีทองเป็นสูตรครีมบำรุงผิวที่จะเน้นเรื่องความนุ่มเนียนของผิว ลดความแห้งกร้านแบบเข้มข้นและเป็นสูตรแบบกันน้ำอีกด้วย
  • สูตรสีม่วงคือสูตร Night Renew เป็นครีมบำรุงมือแบบมาส์กไม่ต้องล้างออกที่ใช้เฉาพะในช่วงกลางคืนเท่านั้น เป็นสูตรเข้มข้นเช่นเดียวกัน โดยจะเน้นใช้ก่อนนอนในทุกๆ วัน เพื่อเป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไปแล้วเผยผิวใหม่ที่มีความนุ่มเนียนและเต่งตึง พร้อมมอบความกระจ่างใสทันทีหลังการใช้
  • สูตรสีส้มเป็นสูตรแบบไร้กลิ่นและมีความเข้มข้นสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและคนทำงานภายในออฟฟิศที่ต้องเปิดแอร์ตลอดทั้งวัน จึงทำให้ผิวเกิดความแห้งกร้านได้ง่าย พร้อมส่วนผสมสำคัญอย่างโคเอนไซม์คิวเทนและวิตามินซีช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำและทำให้ผิวยังคงนุ่มเนียน เต่งตึงในเวลาเดียวกัน สูตรนี้จะมีเนื้อครีมที่ค่อนข้างบางเบาจึงไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ
  • สูตรสีชมพูมาในรูปแบบเนื้อครีมเจล จึงให้การบำรุงผิวแบบเข้มข้นไปพร้อมกับการใช้ที่คล่องตัว ไม่ทำให้รู้สึกรำคาญต่อความเหนียวเหนอะหนะและเป็นสูตรบำรุงทั้งผิวมือกับเล็บแบบพิเศษ ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงและยังมีสารสกัดของ Astaxantin และโคเอนไซม์คิวเทน ที่จะมาเป็นตัวช่วยลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ และป้องกันปัญหาฝ้าหรือกระที่เกิดขึ้นตามผิวมือได้เป็นอย่างดี พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยฟื้นฟูผิวมือที่เสื่อมสภาพให้กลับมาเป็นผิวมือที่สวยงามอีกครั้ง

4.Avene cold cream hand cream

Avene cold cream hand cream

อีกหนึ่งแบรนด์แฮนด์ครีมตัวเด่นใน Drugstore คือ Avene cold cream hand cream ครีมบำรุงผิวมือและเล็บที่จะเป็นตัวช่วยฟื้นบำรุงและป้องกันผิวจากความแห้งกร้าน พร้อมลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเล็บในทุกรูปแบบ มีส่วนผสมของ Sucralfate และกลีเซอรีนที่จะเป็นตัวช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มสมดุลของผิวด้วย Avene ที่อยู่ในน้ำพุร้อนเนบราสก้า จึงทำให้การบำรุงผิวมีประสิทธิภาพสูง พร้อมให้การบำรุงที่ยาวนานตลอดทั้งวัน แม้จะล้างมือบ่อยครั้งมากแค่ไหนก็ยังคงให้ความชุ่มชื้นได้อยู่เสมอ

การทาครีมบำรุงผิวมือของ Avene cold cream hand cream เพียงหนึ่งครั้ง คุณจะสามารถล้างมือได้ถึง 10 ครั้ง โดยที่เนื้อครีมยังคงความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ผิวจึงมีความนุ่มนวลและแลดูสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน  เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวมือแห้งหยาบกร้านไปจนถึงผิวแห้งมาก รวมไปถึงผู้ที่ทำงานภายในออฟฟิศที่ต้องมีการเปิดแอร์ตลอดทั้งวัน มาพร้อมคุณสมบัติที่สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวแม้ผิวแพ้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันและไม่ทำให้ผิวส่วนอื่นที่โดนมือสัมผัสเกิดปัญหาแพ้ใดๆ นอกจากนี้ยังสามารถทาครีมช่วงศอกและเข่าที่มีความแห้ง หยาบกร้านได้อีกด้วย

5.Mamonde Hand Perfume Collection

Mamonde Hand Perfume Collection

Mamonde แบรนด์ขวัญใจคนชอบซื้อผลิตภัณฑ์ Drugstore ที่ญี่ปุ่น เพราะนอกจากแพ็คเกจจะสวยโดนใจแล้ว ยังเป็นแฮนด์ครีมครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติและเป็นสูตรเข้มข้นที่จะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นยาวนาน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกลิ่นของดอกไม้แท้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายไปตลอดทั้งวัน โดยใน 1 เซตจะมีด้วยกัน 3 กลิ่น คือ กลิ่น Gardenia, กลิ่นลาเวนเดอร์ และกลิ่น Rose ที่มาพร้อมผิวสัมผัสเนียนนุ่ม เมื่อทาลงสู่ผิวแล้วซึมซับเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ให้ความนุ่มเบาสบายและกลิ่นหอมอ่อนโยนที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปตลอดทั้งวัน

6.Clinique Deep Comfort Hand and Cuticle Cream

Clinique Deep Comfort Hand and Cuticle Cream

ถ้าคุณต้องการแฮนด์ครีมที่มาจากเคาน์เตอร์แบรนด์และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการใช้ครีมบำรุงมือและเล็บ ขอแนะนำ Clinique Deep Comfort Hand and Cuticle Cream สูตรบำรุงผิวมือและจมูกเล็บที่มีความเข้มข้นสูง ให้เนื้อสัมผัสที่มีความเนียนนุ่มและซึมซาบเร็ว เข้าปกป้องผิวจมูกเล็บกับเล็บให้มีความนุ่มเนียนและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น พร้อมให้ความชุ่มชื่นที่ยาวนานตลอดทั้งวัน เนื้อละมุน ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะในขณะที่ใช้ ทั้งยังช่วยป้องกันเรื่องอาการระคายเคืองที่อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง จึงถือว่าเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ผิวมือและเล็บมีความแข็งแรงแบบปลอดภัยอีกด้วย

7.Lancôme Nutrix Royal Mains cream

Lancôme Nutrix Royal Mains cream

Lancôme Nutrix Royal Mains cream ครีมบำรุงผิวมือและเล็บสูตรเข้มข้นที่อุดมด้วย Royal Lipideum, ไบโอตินและวิตามินอีที่ถือว่าเป็นสารสกัดสำคัญในการบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้นสูงพร้อมลดเลือนริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นกับผิวมือ จึงให้ผลลัพธ์ของผิวที่นุ่มเนียนและเต่งตึงเหมือนผิวเด็ก พร้อมเข้าบำรุงเล็บจึงทำให้เกิดความแข็งแรงทั้งจมูกเล็บและให้ความเงางามต่อเล็บได้เป็นอย่างดี ทั้งยังทำให้ฝ่ามือ ข้อมือ และผิวมือโดยรวมมีความอ่อนโยนจนน่าสัมผัส

8.Elizabeth Arden Eight Hour Cream Hand Cream

Elizabeth Arden Eight Hour Cream Hand Cream

หนึ่งในแฮนด์ครีมแบบเคาเตอร์แบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงเช่นกัน คือ Elizabeth Arden Eight Hour Cream Hand Cream ครีมที่ให้ความชุ่มชื้นและปกป้องผิวได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง โดยมีส่วนผสมหลักคือ Petrolatum 56.8 เปอร์เซ็นต์ และมีทั้งลาโนลิน, Mineral Oil และ Vegetable Oil รวมไปถึงการเลือกใช้ BHA Antioxidant มาเป็นตัวช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับผิวและช่วยกักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงผิวไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะล้างมือบ่อยแค่ไหนผิวจะไม่แห้งและหยาบกร้านง่ายเกินไป ทั้งยังเป็นสูตรที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการเป็น Hand eczema ที่ช่วยลดอาการแห้ง ลดอาการคัน ป้องกันผิวจากอาการระคายเคืองและการอักเสบต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

9.Clarins Hand and Nail Treatment

Clarins Hand and Nail Treatment

Clarins ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเคาน์เตอร์แบรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย สำหรับสูตร Hand and Nail Treatment จึงกลายมาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์แฮนด์ครีมที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะเลือกใช้การบำรุงผิวจากน้ำมัน Sesame กับ Japanese Mulberry ที่ผ่านการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญมาเป็นอย่างดี เน้นเรื่องการ เคลือบชั้นผิวด้วยแผ่นฟิล์มบางๆ จึงทำให้ความชุ่มชื้นยังคงมีอยู่เสมอตลอดทั้งวัน พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยและลดความหยาบกร้านได้ดี ทั้งยังใช้ได้อย่างปลอดภัยแบบไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองใดๆ เป็นตัวช่วยฟื้นบำรุงผิวให้กลับมาเต่งตึงและดูเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมมอบคุณสมบัติปกป้องเล็บและทำให้เกิดความแข็งแรงมากกว่าเดิม ทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแดงช้ำและรอยอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดี ลดความอับชื้น ลดปัญหาเรื่องเชื้อรา และยังปกป้องผิวจากสภาวะต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาอาการแพ้ได้อีกด้วย

10.L’Occitane Shea Butter Hand Cream

L’Occitane Shea Butter Hand Cream

L’Occitane Shea Butter Hand Cream เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์แฮนด์ครีมที่เน้นคุณค่าจากเชียร์บัตเตอร์มากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ผสมสารสกัดจากเมล็ดอัลมอนด์, วิตามินอี และน้ำผึ้ง จึงให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของการผสมผสานกลิ่นมะลิและกลิ่นของกระดังงา เมื่อทาผิวแล้วนอกจากจะได้ความชุ่มชื้นยังได้กลิ่นที่ให้ความผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ซึ่งแบรนด์ L’Occitane นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์บำรุงผิวคุณภาพ ซึ่งในรุ่นแฮนด์ครีมเพียงแค่คุณทาผิวมือและเล็บจะสามารถซึมซาบลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาแค่ 3 วินาทีเท่านั้น เมื่อทาแล้วจะไม่รู้สึกว่าเหนียวเหนอะหนะ ไม่ก่อให้เกิดความมันจึงใช้ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งรุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะให้คุณสมบัติที่ทำให้ผิวมือเต่งตึงขึ้นอย่างรวดเร็วและทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส พร้อมให้กลิ่นหอมอ่อนๆ และเมื่อทาแล้วก็สามารถหยิบจับสิ่งของต่างๆ ได้ตลอดทั้งวันแบบไม่ทำให้ลื่นมือเลยแม้แต่น้อย

การเลือกซื้อแฮนด์ครีมที่มีคุณภาพ คุณควรดูจากส่วนผสมที่เน้นเรื่องการกักเก็บความชุ่มชื้น การเพิ่มความชุ่มชื้น และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย เน้นที่มีการใช้ส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อที่คุณจะใช้งานได้อย่างไม่ต้องกังวลสารเคมีตกค้าง โดยเฉพาะในรุ่นที่มีตัวช่วยป้องกันอาการระคายเคืองจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ถือว่าเป็นแฮนด์ครีมที่มีความน่าสนใจมาก ดังนั้น ถ้าคุณกำลังสนใจจะซื้อแฮนด์ครีมที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างตรงใจ แนะนำทั้ง 10 แฮนด์ครีมคุณภาพนี้ที่จะช่วยทำให้คุณได้ผิวมือที่มีความนุ่มเนียนไปตลอดทั้งวันแม้ต้องล้างมือบ่อยครั้ง พร้อมได้ผิวและเล็บสวยตามแบบที่คุณต้องการอย่างแน่นอน

Categories
BEAUTY LIFESTYLE

5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน!

5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน!

( 5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้เวลาทำงานอยู่บ้าน! )สกินแคร์ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงผิวหน้าและผิวกาย โดยจะมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้เพื่อให้เหมาะสมต่อปัญหาผิวของแต่ละคน สำหรับผลิตภัณฑ์สกินแคร์นั้นยังมีแตกออกมาเป็นหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อครีม, เนื้อเจล, เนื้อเซรั่ม, เนื้อเอสเซนส์ และเนื้อโลชั่น เป็นต้น ซึ่งในแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้ดีและยังมีความสำคัญต่อการบำรุงผิวของทั้งผู้หญิงและผู้ชายเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานย่อมต้องเลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสม เพื่อให้ผิวสวยที่ดูอ่อนเยาว์และไร้ปัญหายังคงอยู่กับคุณได้ยาวนาน

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เครื่องล้างหน้า ยี่ห้อไหนดี 5 ตัว ดีต่อผิว ช่วยลดสิว และริ้วรอย  

สกินแคร์ที่ต้องทาแม้อยูบ้าน

ช่วงกักตัว หรือทำงานอยู่บ้าน จำเป็นต้องใช้สกินแคร์หรือไม่

เมื่อต้องกักตัวและทำงานอยู่บ้าน ผู้หญิงหลายคนเกิดความสงสัยว่าจำเป็นต้องใช้สกินแคร์หรือไม่ ซึ่งคำตอบ คือ จำเป็นต้องใช้อย่างแน่นอน เพราะผิวไม่สามารถขาดการดูแลได้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ออกไปเผชิญมลภาวะกับแสงแดดนอกบ้าน แต่ภายในบ้านเองยังคงมีฝุ่นละอองและมีแสงไฟที่สามารถทำร้ายผิวของคุณได้ตลอดเวลา เพียงแต่จะลดความรุนแรงลงกว่าการออกไปเจอมลภาวะกับแสงแดดนอกบ้าน

ดังนั้น การใช้สกินแคร์เพื่อปกป้อง ฟื้นฟู และบำรุงผิว จึงถือว่ายังคงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกขั้นตอนการบำรุงผิวจึงถือว่ามีความสำคัญและยังคงต้องทำตามขั้นตอนเดิม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น รวมไปถึงการทาครีมกันแดดก็ยังคงมีความสำคัญอยู่เสมอเช่นกัน แม้จะไม่ได้ออกจากบ้านแต่คุณก็ยังต้องเผชิญกับแสงไฟภายในบ้านที่มีค่า UV เช่นเดียวกับแสงแดด ทางเลือกที่ดีที่สุดที่คุณจะดูแลผิวได้ คือ การใช้สกินแคร์ให้ครบทุกขั้นตอนที่คุณเคยทำเหมือนกับการออกไปทำงานนอกบ้านทั้งหมดนั่นเอง

5 สกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา แม้ไม่ออกจากบ้านก็ต้องใช้!

การทาสกินแคร์นั้นถือว่ามีความสำคัญต่อผิวของคนในยุคนี้เป็นอย่างมาก โดยสกินแคร์จะมีแยกออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เพื่อทำให้สามารถดูแลและบำรุงผิวได้อย่างครอบคลุม มีแยกออกเป็นกลุ่มทำความสะอาดผิว, กลุ่มบำรุงผิว, กลุ่มฟื้นฟูผิว และกลุ่มปกป้องผิว ซึ่งในแต่ละกลุ่มนั้นจะมีความสำคัญต่อผิวของทั้งผู้หญิงและผู้ชายเป็นอย่างมาก แต่ก็ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อผิว พร้อมไปด้วยการศึกษาดูว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่างๆ นั้นมีแตกยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใดบ้าง และผลิตภัณฑ์ใดที่คุณจำเป็นต้องใช้พิเศษหรือไม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ป้องกันและรักษาฝ้ากับกระ เป็นต้น  แต่ถ้าเป็นสกินแคร์ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมใช้ พร้อมวิเคราะห์มาแล้วว่ามีความจำเป็นต่อผิวอย่างมากจะมีดังต่อไปนี้

1.โทนเนอร์

  • ผลิตภัณฑ์สำหรับเตรียมผิวและสร้างความสมดุลให้กับน้ำหล่อเลี้ยงผิวก่อนการลงครีมบำรุงต่างๆ ทั้งยังเป็นตัวช่วยทำความสะอาดขั้นตอนสุดท้ายหลังการล้างหน้า คือ “โทนเนอร์” ที่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ยอดนิยมของผู้หญิงยุคนี้  โดยเฉพาะสาวเกาหลีจะนิยมใช้โทนเนอร์กันเป็นจำนวนมาก ทั้งยังนำโทนเนอร์มาเป็นส่วนสำคัญของการมาส์กหน้าอีกด้วย สูตรโทนเนอร์ในปัจจุบันจึงถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นสูตรทำความสะอาดไปพร้อมความเย็นสบายของผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้น้ำสมดุลผิวคืนกลับมาและเป็นการเตรียมผิวเพื่อให้สามารถรับสารบำรุงต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าปกติเป็นเท่าตัว ดังนั้นโทนเนอร์จึงถือว่าเป็นสกินแคร์ตัวสำคัญที่มีความจำเป็นต่อผิวของคนยุคนี้เป็นอย่างมาก

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เทียนหอม ยี่ห้อไหนดี 10 ยี่ห้อ สดชื่น ผ่อนคลาย

อยู่บ้านสกินแคร์ที่จำเป็นต้องทา2.เซรั่ม/เอสเซ้นส์บำรุงผิว

  • เซรั่มหรือเอสเซนส์เพื่อบำรุงผิวจะเป็นขั้นตอนต่อมาจากการเช็ดหรือมาส์กด้วยโทนเนอร์ เพราะเนื้อเซรั่มกับเนื้อเอสเซนส์จะบางเบาจนสามารถซึมซาบลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ขั้นตอนนี้จะช่วยจัดการปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความหมองคล้ำ, ปัญหาสิว, ผิวไม่สม่ำเสมอ, ฝ้า, กระ หรือจุดด่างดำต่างๆ เพราะผลิตภัณฑ์เนื้อเซรั่มกับเนื้อเอสเซ้นส์นั้นจะลงลึกเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ทั้งยังมีการผสมสารบำรุงและฟื้นฟูต่างๆ ลงในเนื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูงอีกด้วย

3.ครีมบำรุงผิว

  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มาในรูปแบบเนื้อครีมจะเหมาะสำหรับการทาตบท้ายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการลงผลิตภัณฑ์บำรุงช่วงเช้าหรือช่วงก่อนนอน เนื้อครีมจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ช่วยเคลือบผิว พร้อมให้ความชุ่มชื้นที่ดีเยี่ยม เป็นการทำให้ผิวมีความนุ่มเนียนและกลับมาสมดุลอีกครั้ง โดยเนื้อครีมรุ่นใหม่จะถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานได้อย่างไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการอุดตัน ควรเลือกใช้เป็นลักษณะของครีมน้ำนม, ครีมที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์จากสารสกัดธรรมชาติ และครีมบำรุงสำหรับผิวแพ้ง่าย เพื่อทำให้ได้รับการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและสามารถเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิวได้อย่างปลอดภัย

4.ผลิตภัณฑ์รักษาสิว

  • สำหรับผลิตภัณฑ์รักษาสิวจะเป็นผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิวต่างๆ และจุดด่างดำที่เกิดจากสิวโดยเฉพาะ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องสิวคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นสิวผดผื่น, สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ สิ่งที่คุณควรทำคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวตั้งแต่ขั้นตอนการล้างหน้าไปจนถึงขั้นตอนการบำรุงผิว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์หน้าขาวใสและผลิตภัณฑ์บำรุงชนิดอื่นๆ เพื่อทำให้การรักษาสิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคนไทยแล้วผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะผิวของคนไทยจะเสี่ยงต่อการเป็นสิวได้ง่าย เนื่องจากอากาศที่มีความร้อนชื้นและคนไทยมักจะมีผิวมันกับผิวผสมเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงการต้องเผชิญมลภาวะที่หนักหน่วงมากขึ้นทุกวันและแสงแดดกับรังสี UV ที่เข้มข้นขึ้น จึงทำให้ผิวถูกทำลายและเป็นสิวได้ง่าย

อยู่บ้านทาครีมกันแดด

5.ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

  • ผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันแสงแดดทั้งผิวหน้าและผิวกาย ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญต่อผู้คนยุคนี้เป็นอย่างมาก  เนื่องจากความร้อนของแสงแดดและรังสี UVA กับ UVB มีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน จึงทำให้ผิวต้องเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจนเกิดอักเสบบวมแดงจากความร้อนของแสงแดดได้ทุกวัน รวมไปถึงรังสี UV ทั้งสองชนิดทำให้ผิวหมองคล้ำ ก่อให้เกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ รวมไปถึงก่อให้เกิดสิวได้ง่าย ดังนั้นผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันแสงแดดจึงมีความจำเป็นต่อผิวของคนไทยเป็นอย่างมาก ควรเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบสูตรบางเบา แต่ให้ความเข้มข้นในการป้องกันแสงแดด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาเรื่องการอุดตันและทำให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่

6 เคล็ดลับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบบเห็นผลชัดเจนของสาวเกาหลี

สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ให้ได้ผลดี คุณควรมีเคล็ดลับเพื่อให้คุณได้ประโยชน์จากสกินแคร์ที่คุณใช้อยู่อย่างเต็มที่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงขอแนะนำ 6 เคล็ดลับการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของสาวเกาหลีที่ช่วยทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นผลได้ชัดในระยะเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น คือ

1.เน้นความสะอาด

  • สาวเกาหลีจะเน้นเรื่องความสะอาดเป็นหลัก ไม่ว่าจะแต่งหน้าแบบจัดเต็มหรือแต่งหน้าเพียงบางเบาก็จะเน้นเรื่องความสะอาดเพื่อลดปัญหาผิวต่างๆ ตามมา และสาวเกาหลียังเชื่อว่าการทาครีมบำรุงบนผิวที่ยังสกปรกอยู่นั้นจะสร้างปัญหาผิวที่เรื้อรังและเป็นปัญหาที่ค่อนข้างน่ากลัว ดังนั้นก่อนการล้างหน้าจึงจะมีการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเช็ดทำความสะอาดอย่าง Cleansing สูตรน้ำมัน เพื่อทำให้การเช็ดเครื่องสำอางไม่ทำให้ผิวแห้งตึงมากจนเกินไป เมื่อเช็ดผิวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะตามมาด้วยครีมโฟมหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ให้ความนุ่มนวลและสามารถดึงความสกปรกออกจากผิวได้หมดจด เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะตามด้วยการเช็ดโทนเนอร์อีก 1 ครั้ง เพื่อเป็นการทำให้ผิวเกิดความสะอาดอย่างสูงสุด

มากส์โทนเนอร์

2.มาส์กโทนเนอร์ทุกวัน

  • การมาส์กหน้าด้วยโทนเนอร์ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญของชาวเกาหลี เพราะจะนิยมใช้สำลีชุบโทนเนอร์เพื่อมาส์กหน้าทุกวันในช่วงเย็น ซึ่งสาวเกาหลีจะถือว่าการมาส์กโทนเนอร์เป็นตัวช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เกิดความสมดุลและช่วยทำให้ผิวรับครีมบำรุงต่างๆ ได้ดีมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำให้การมาส์กด้วยโทนเนอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มของสาวเกาหลีที่มีผิวใสและดูสุขภาพดี

3.ความชุ่มชื้นต้องมีเสมอ

  • อีกหนึ่งความสำคัญของการดูแลผิวที่สาวเกาหลีนิยมมาก คือ การทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นแบบฉ่ำน้ำ หรือที่เรียกกันว่าผิวดิวอี้ ให้ความชุ่มชื้นจนผิวใสคล้ายกระจก หลังจากการมาส์กโทนเนอร์แล้วจึงจะต่อด้วยขั้นตอนของการทาครีมบำรุงผิวที่เน้นในเรื่องของการเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิว ให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่ก่อให้เกิดความมัน ทำให้ผิวดูฟูและอิ่มน้ำมากขึ้น โดยจะใช้ทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น แต่จะเน้นใช้หลากหลายผลิตภัณฑ์ในช่วงก่อนนอน รวมไปถึงการใช้มาส์กหน้าแบบไม่ต้องล้างออกเพื่อทำให้ผิวเกิดการฟื้นฟูอย่างเต็มที่

4.ตบผลิตภัณฑ์ลงผิว

  • ทุกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่คุณใช้อยู่ ควรใช้ปลายนิ้วกลางและนิ้วนางในการตบผลิตภัณฑ์ทุกตัวลงผิวแบบเบาๆ แม้กระทั่งการมาส์กหน้า เมื่อทำการมาส์กเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ตบเนื้อเซรั่มหรือเอสเซ้นส์มาส์กลงผิวเบาๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือดบนใบหน้าทำงานได้ดีขึ้นและยังช่วยทำให้ผิวรับสารบำรุงได้ง่าย รวดเร็ว และล้ำลึกกว่าเดิม

5.ใช้เวลากับการดูแลผิวให้มาก

  • สาวเกาหลีจะเน้นใช้วิธีการดูแลผิวหน้าและผิวกายด้วยเวลาที่ค่อนข้างมาก ดังนั้นวันหยุดของสาวเกาหลีจึงเต็มไปด้วย ขั้นตอนการดูแลผิวในทุกสัดส่วน เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียน สว่างกระจ่างใส และเป็นผิวสุขภาพดีไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการมาส์กผิวหน้า ผิวกาย หรือแม้กระทั่งมือกับเท้า ส่วนการทำความสะอาดจะมีตั้งแต่การนวดน้ำมันบนผิวหน้าและผิวกาย จากนั้นจะล้างออกด้วยครีมโฟมหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมต่อผิว พร้อมการทำสครับผิว เพื่อขจัดคราบสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างหมดจดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแช่น้ำนมกับน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ เพิ่มเติมอีกด้วย เรียกได้ว่าสาวเกาหลีจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการดูแลตัวเองโดยเฉพาะ

เช็ดโทนเนอร์

6.ผิวสวยด้วยน้ำมันสกัด

  • เคล็ดลับความเงาและดูเป็นผิวสุขภาพดีของสาวเกาหลี คือ การเน้นใช้น้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ที่ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากดอกทานตะวัน, น้ำมันอัลมอนด์, น้ำมันละหุ่ง, น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันจากดอกไม้ต่างๆ ที่จะช่วยทำให้ผิวมีความเงางาม ทั้งยังช่วยเติมเต็มน้ำหล่อเลี้ยงผิวได้มากขึ้นอีกด้วย

การดูแลผิวด้วยสกินแคร์จะช่วยยืดอายุของผิวคุณให้ยังคงเป็นผิวสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ นอกจากความสวยงามของผิวพรรณแล้ว การดูแลผิวด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสมยังช่วยลดสารพัดปัญหาผิวที่จะตามมาในอนาคตและยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวเกิดปัญหาผื่นแพ้หรือปัญหาหนักหน่วงอย่างมะเร็งผิวหนังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

Categories
BEAUTY SHOPPING

10 แอลกอฮอล์เจลล้างมือ 70% ฆ่าเชื้อโรคได้จริง แถมมือนุ่มไม่แห้งกร้าน

10 แอลกอฮอล์เจลล้างมือ 70% ฆ่าเชื้อโรคได้จริง แถมมือนุ่มไม่แห้งกร้าน

( 10 แอลกอฮอล์เจลล้างมือ 70% ฆ่าเชื้อโรคได้จริง ) สถานการณ์โรคโควิด-19 สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกได้อย่างชัดเจน นอกจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงทุกวันแล้ว สภาพความเป็นอยู่ของคนก็เปลี่ยนไป รวมไปถึงพฤติกรรมที่ต้องมีการปรับตัวต่อสู้กับโรคระบาดนี้ ทำให้หลายๆ คน เริ่มพกอุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัส ซึ่งนอกจากหน้ากากอนามัยแล้ว แอลกอฮอล์เจลล้างมือ คือไอเท็มที่คุณควรพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทันที อีกทั้งยังพกพาสะดวก ซึ่งใครที่กำลังมองหาแอลกอฮอล์เจลล้างมือกันอยู่ วันนี้เราก็คัดมาแนะนำกันแล้วกับ 10 ยี่ห้อ รับรองฆ่าเชื้อโรคได้จริง แถมยังถนอมมืออีกด้วย

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน ไวรัสโคโรน่า กับ 5 ไอเท็มที่สาวๆ ควรพกไว้ใช้ลดความเสี่ยงเมื่ออยู่นอกบ้าน

1.Betadine Natural Defense

Betadine Natural Defense

เริ่มต้นด้วยเจลล้างมือกับยี่ห้อที่การันตีเรื่องฆ่าเชื้อโรคได้ 99.99% อย่างเบตาดีน ที่หลายคนมักใช้ฆ่าเชื้อโรคบนบาดแผลกันเป็นประจำ ซึ่งครั้งนี้เบตาดีนได้ผลิตเจลล้างมือสูตรใหม่ ที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้งมานูก้า ซึ่งจะทำให้คุณได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง แถมยังช่วยถนอมและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 70% โดยจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและไวรัสต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังลดการสะสมของแบคทีเรียได้ถึง 99.99% แถมเนื้อเจลเกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ พกติดตัวไว้กันไวรัสโควิด-19 ได้แน่นอน

ราคา : 89 บาท ขนาด 50 ml.

ช่องทางการซื้อ : Tesco Lotus, Top supermarket, Lazada, Shopee

2.Mybacin alcohol Cleansing Gel

Mybacin alcohol Cleansing Gel

ต่อกันด้วยแบรนด์ยาอมแก้เจ็บคอที่ทุกคนคุ้นเคย อย่าง Mybacin ที่เริ่มผลิตเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 70% เพื่อช่วยป้องกันและยับยั้งไวรัส ไข้หวัด และเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน แถมมีกลิ่นหอมของแอปเปิล ที่ทำให้คุณไม่ได้กลิ่นของแอลกอฮอล์ที่มากจนเกินไป เนื้อเจลมีความใสและอ่อนโยนต่อผิวอย่างมาก เพราะมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และกลีเซอรีน ช่วยทำให้เจลซึมซับเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว และมีฤทธิ์ช่วยบำรุงผิวคุณให้ชุ่มชื้นอีกด้วย เรียกว่าเป็นเจลล้างมือที่คุณภาพเยี่ยม แถมพกพาสะดวกอีกด้วย

ราคา : 50 บาท ขนาด 60 ml.

ช่องทางการซื้อ : ร้านขายยาบางแห่ง, Lazada, Shopee, Officemate

3. 3M Alcohol Gel

3M Alcohol Gel

หลายคนน่าจะคุ้นๆ กับหน้ากากอนามัย 3m ที่โดดเด่นในเรื่องของการป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อไวรัสกันมาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่า 3m ได้ผลิตแอลกอฮอล์เจลล้างมือ 70% ด้วย โดยมาพร้อมสูตรที่จะช่วยป้องกันแบคทีเรียและยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ทั้งที่ลอยอยู่ในอากาศและผ่านจากการสัมผัสได้ถึง 99.99% จุดเด่นสำคัญ คือเนื้อเจลมีค่า pH ระหว่าง 6.5-8.5 ทำให้เนื้อเจลมีความใส และซึมซับได้อย่างรวดเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมขนาดใหญ่ที่ให้คุณใช้ได้ทั้งครอบครัว

ราคา : 200 บาท ขนาด 400ml.

ช่องทางการซื้อ : ร้านขายยาบางแห่ง, Lazada, Shopee

4.Kirei Kirei เจลล้างมือ คิเรอิ

Kirei Kirei เจลล้างมือ คิเรอิ

แบรนด์แอลกอฮอล์เจลล้างมือที่น่ารักที่สุด ต้องยกให้กับแบรนด์จากญี่ปุ่น อย่าง คิเรอิ ที่มาพร้อมโลโก้สุดคิ้วท์ และเป็นเจลล้างมือแบบไม่ต้องล้างออก ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียได้อย่างดี และมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 70% ช่วยฆ่าเชื้อโรคและไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาพร้อมความหอมละมุนตามแบบฉบับของญี่ปุ่น เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไม่ชอบกลิ่นแรงๆ นอกจากนี้เนื้อเจลยังมีความใส แถมบางเบา ซึมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่ทำให้คุณรู้สึกระคายเคือง อีกทั้งยังอ่อนโยนและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวคุณได้อย่างดี

ราคา : 40 บาท ขนาด 50 ml.

ช่องทางการซื้อ : Top supermarket, Lazada, Shopee

5.ศิริบัญชา แอลกอฮอลล์เจล

ศิริบัญชา แอลกอฮอลล์เจล

ขึ้นชื่อว่าศิริบัญชา คุณจงมั่นใจได้เลยว่าเจลล้างมือสูตรนี้ จะช่วยฆ่าเชื้อโรคให้คุณได้ทันที โดยสามารถยับยั้งป้องกันและลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.99% เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% จึงสามารถทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็ว ตัวเจลแห้งง่าย ไม่รู้สึกเหนียวมือ อีกหนึ่งจุดเด่นนอกจากฆ่าเชื้อโรคได้แล้ว ยังสามารถฆ่าเชื้อราได้เช่นเดียวกัน  นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทำความสะอาดและเช็ดสิ่งของต่างๆ ได้อีกด้วย ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าศิริบัญชาขวดเดียวเอาอยู่

ราคา : 250 บาท ขนาด 400 ml.

ช่องทางการซื้อ : ร้านขายยาบางแห่ง, Lazada, Shopee

6.เจลล้างมือ Dettol

เจลล้างมือ Dettol

มาถึงยี่ห้อน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่กำลังมาแรงที่สุดในเวลานี้ อย่างเดทตอล ที่กำลังขาดตลาดอย่างมาก นอกจากสบู่และน้ำยาล้างห้องน้ำ เจลล้างมือคือสิ่งที่คุณห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด! เพราะสามารถป้องกันและลดการสะสมของแบคทีเรียได้ถึง 99.99% โดยผ่านมาตรฐานรับรองจาก IMA อีกทั้งยังมีสารสกัดจากว่านหางจระเข้ ที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวของคุณได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมสดชื่น ตัวเจลให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติ ไม่เหนียวเหนอะหนะ สามารถใช้ได้แบบสบายผิว

ราคา : 55 บาท ขนาด 50 ml.

ช่องทางการซื้อ : Top supermarket, Lazada, Shopee

7.เจลล้างมืออนามัย ภูมิฤกษา

เจลล้างมืออนามัย ภูมิฤกษา

ข้ามมาทางฝั่งเจลล้างมือสมุนไพรกันบ้าง กับยี่ห้อ “ภูมิฤกษา” ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ 70% สามารถฆ่าเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยยับยั้งการสะสมของแบคทีเรียได้ถึง 99.99% ไม่แพ้แบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้ ตัวเจลยังมีส่วนผสมของคอลลาเจน วิตามินอี และว่านหางจระเข้ ที่จะช่วยให้ผิวของคุณได้รับความชุ่มชื้นและช่วยบำรุงผิวได้ ถือเป็นเจลล้างมือที่ทำมาเพื่อตอบสนองคนผิวแพ้ง่ายได้อย่างแท้จริง

ราคา : 69 บาท ขนาด 50 ml.

ช่องทางการซื้อ : www.poompuksa.com, Lazada, Shopee

8. DShow เจลล้างมือแอลกอฮอล์

DShow เจลล้างมือแอลกอฮอล์

ต่อด้วยเจลล้างมือคุณภาพคุ้มราคา อย่างแบรนด์ “Dshow” ที่มาพร้อมส่วนผสม Isopropyl หรือแอลกอฮอล์ที่ใช้ในทางการแพทย์โดยมีความเข้มข้นมากถึง 99.99% เจลชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันเชื้อไวรัส และแบคทีเรียทุกชนิด หมดกังวลเรื่องเชื้อโรคที่จะเข้ามารุกรานบนผิวของคุณได้เลย นอกจากนี้ เนื้อเจลยังมีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบและกลิ่นวนิลาอ่อนๆ ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และไม่ทำร้ายผิวของคุณอย่างแน่นอน สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และทุกเพศทุกวัย

ราคา : 85 บาท ขนาด 500 ml.

ช่องทางการซื้อ : Lazada, Shopee

9.เจลล้างมือ Common Ground

เจลล้างมือ Common Ground

สายออแกนิค และผิวแพ้ง่าย ห้ามพลาด! กับเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 70% จากแบรนด์ Common Ground ที่ผลิตจากประเทศออสเตรเลีย มีค่า PH 5.5 ช่วยฆ่าเชื้อโรคและไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถทำความสะอาดผิวของคุณได้อย่างล้ำลึก นอกจากนี้ ยังมาพร้อมสารสกัดจากน้ำมันอะโวคาโด ช่วยบำรุงมือและผิวของคุณให้ชุ่มชื้น อีกทั้งยังมีวิตามิน E ที่บำรุงให้ผิวของคุณไม่แห้งและเกิดการระคายเคือง นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ ที่จะช่วยให้คุณผ่อนคลายและรู้สึกสบาย

ราคา : 120 บาท ขนาด 250 ml.

ช่องทางการซื้อ : Lazada, Shopee

10.เจลล้างมือ Harvie

เจลล้างมือ Harvie

ปิดท้ายด้วยแอลกอฮอล์ล้างมือที่คุณน่าจะเคยได้ใช้ตามโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเจลล้างมือสูตรอ่อนโยนจากแบรนด์ Harvie ที่จะช่วยยับยั้งและฆ่าเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดย Harvie เป็นเจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% และมีส่วนผสมของสารไตรโคลซาน (Triclosan) ที่มีประสิทธิภาพช่วยในการต่อต้านจุรินทรีย์และเชื้อโรคตามผิวหนังโดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ รวมถึงยังมีสารสกัดจากว่านหางจระเข้และกลีเซอรีนที่จะช่วยเพิ่มความหอม และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ อีกทั้งยังสามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องล้างน้ำ

ราคา : 79 บาท ขนาด 65 ml.

ช่องทางการซื้อ : Lazada, Shopee, Officemate

วิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เจลล้างมือ

เมื่อทราบถึงยี่ห้อของแอลกอฮอล์ล้างมือเรียบร้อยแล้ว หลายคนอาจจะเกิดข้อสงสัยและตั้งคำถามว่า จะมีวิธีการเลือกซื้อเจลล้างมืออย่างไรให้ได้ของมีคุณภาพ เพราะตอนนี้เจลล้างมือได้กลายเป็นของสำคัญที่ต้องพกติดตัวตลอดเวลา เพื่อช่วยป้องกันตัวเองจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ในท้องตลาดมีเจลล้างมือที่ถูกผลิตออกมาวางขายมากมายหลายแบบ โดยมีทั้งของที่มีคุณภาพและของที่ไม่มีประสิทธิภาพ วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อเจลที่ได้คุณภาพให้คุณได้ทราบกันดังนี้

คุณอาจสนใจบทความนี้ คลิกอ่าน หน้ากากอนามัยแบบผ้าดีไหม? วัสดุแบบไหนป้องกันโควิด-19 ได้จริง

1.ควรมีแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70%

  • หากคุณกำลังมองหาเจลล้างมือที่ได้คุณภาพ ให้คุณสังเกตที่ตัวผลิตภัณฑ์ว่ามีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ถึง 70% หรือไม่ เพราะความเข้มข้นในปริมาณนี้จะช่วยป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคได้อีกด้วย แต่หากมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่น้อยกว่านั้น จะทำให้ประสิทธิภาพของเจลล้างมือ ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้เท่าที่ควร

2.ฉลากต้องได้มาตรฐาน

  • ทุกวันนี้มีเจลแอลกอฮอล์จากหลายแบรนด์เข้ามาวางขายเต็มไปหมด ดังนั้นคุณต้องพิจารณาให้ดีว่าตัวสินค้ามีฉลากกำกับอยู่หรือไม่ โดยบนฉลากต้องระบุยี่ห้อ ส่วนผสม ปริมาณสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต เลขทะเบียนสินค้า วันหมดอายุ และชื่อที่ตั้งของผู้ผลิต ยิ่งหากมีการผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ก็ยิ่งจะช่วยการันตีความปลอดภัยให้คุณได้ 100% ดังนั้น ก่อนเลือกซื้ออย่าลืมอ่านฉลาก เพื่อช่วยให้คุณได้รับสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพอีกด้วย

ล้างมือด้วยแอลกฮฮล์

3.เลือกขนาดตามความเหมาะสม

  • ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ คุณควรเลือกซื้อเจลล้างมือที่เหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น หากคุณต้องเดินทางตลอดเวลาและต้องการความสะดวกในการพกพา แนะนำให้ใช้เจลล้างมือที่มีขนาดไม่เกิน 50 ml. แต่หากคุณต้องการใช้ภายในบ้าน หรือให้คนในครอบครัวใช้ ขนาด 400 ml. – 600 ml. เป็นขนาดที่กำลังพอดี เนื่องจากสามารถใช้ได้ทุกคน

4.บรรจุภัณฑ์ปิดสนิท

  • ข้อนี้สำคัญอย่างมาก เพราะหากบรรจุภัณฑ์ไม่ได้ใช้วัสดุที่ได้คุณภาพ หรือมีการปิดไม่สนิท อาจทำให้แอลกอฮอล์เกิดการระเหยออกมา ทำให้ความหนืดและความเข้มข้นจางลงได้ หรือเลวร้ายกว่านั้น เจลแอลกอฮอล์อาจหกเลอะเทอะเต็มกระเป๋าคุณไปหมด ดังนั้นควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ซีลแน่นหนา ปิดสนิท เพื่อคงประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์ไว้ให้ได้นานที่สุด

5.เลือกเนื้อเจลตามสภาพผิว

  • หากรู้ตัวว่าเป็นคนผิวแพ้ง่าย ควรเลือกเจลล้างมือที่เป็นแบบใส และมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้และกลีเซอลีน ที่จะช่วยบำรุงให้ผิวมือของคุณไม่ให้แห้ง และยังช่วยเติมความชุ่มชื้นผิวได้เป็นอย่างดีพร้อมกัน แต่สำหรับใครที่ชอบความสะอาดแบบเต็มร้อย อาจเลือกใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เยอะขึ้น ตัวเนื้อเจลมีความข้น แต่สามารถกำจัดและฆ่าเชื้อโรคให้คุณได้แบบ 99.99% ดังนั้นให้เช็กสภาพผิวของคุณให้ดีก่อนการเลือกซื้อทุกครั้ง เพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน

ข้อควรระวังในการใช้

จริงอยู่ที่เจลล้างมือจะมาพร้อมคุณสมบัติในการช่วยฆ่าเชื้อโรคได้สูง เนื่องจากมีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นมากถึง 70% ในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายก็อาจจะเกิดความรู้สึกระคายเคืองผิวได้ ดังนั้น เราจึงมีข้อควรระวังในการใช้มาฝากกันดังนี้

1.ผิวอาจแพ้รุนแรงได้

  • หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นคนผิวแพ้ง่าย อาจทำให้การใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูง ส่งผลให้ผิวเกิดการแพ้ได้ แนะนำให้คุณลองทดสอบการแพ้ของผิวด้วยการใช้เจลล้างมือก่อน ด้วยการบีบเจลเล็กน้อยแล้วทาที่ท้องแขน รอ 5 นาที หากไม่มีปฏิกิริยาการแพ้เกิดขึ้น แสดงว่าคุณสามารถใช้เจลนั้นได้ แต่หากมีอาการคันหรือมีตุ่ม แสดงว่าคุณเป็นคนผิวแพ้ง่าย และหากใช้เจลก็อาจจะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ ดังนั้นจงหยุดใช้ดีกว่า หรืออาจต้องเลือกใช้เจลล้างมือที่เหมาะสมโดยหันมาใช้เจลสูตรที่อ่อนโยนต่อผิวเด็กแทน

2.หลีกเลี่ยงเปลวไฟ

  • เจลล้างมือมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงมาก หากคุณใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ย่อมทำให้เกิดการติดไฟได้ หากคุณเอามือไปใกล้กับประกายไฟหรือเปลวไฟ ทางที่ดีเมื่อทาเจลล้างมือแล้ว ก็ให้หลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้กับไฟนั่นเอง
    เพื่อความปลอดภัยสำหรับตัวคุณ

เจลล้างมือ

3.ไม่สูดดมแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน

  • หากคุณใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อาจมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นได้ แต่หากเป็นส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว ไม่ควรสูดดมเป็นอันขาด เพราะหากคุณสูดดมนานเกินไป อาจทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงส่วนต่างๆ ในร่างกายได้

4.ไม่ควรใช้กับเด็กทารก

  • เพราะเด็กทารกมีผิวพรรณที่บอบบางและอ่อนโยน การใช้เจลแอลกอฮอล์ อาจทำให้ผิวของเด็กเกิดการระคายเคือง
    และอาจทำให้ผิวในบริเวณที่ทาเกิดความกระด้างได้ ทางที่ดีผู้ปกครองควรป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาติดสู่ลูกได้จะดีที่สุด

วิธีสังเกตแอลกอฮอล์เจลของปลอม ดูได้อย่างไร

หลายคนซื้อแอลกอฮอล์เจลล้างมือติดบ้านไว้หลายขวด หลายแบรนด์ เพราะในเวลานี้เจลล้างมือหาซื้อได้ยากมาก เมื่อเจอยี่ห้อไหนก็ตามในร้านขายยาจึงซื้อมาก่อน บางครั้งจึงไม่แน่ใจว่าเจลที่เราซื้อมาเป็นของปลอมหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญที่คุณควรรู้ คือแอลกอฮอล์ที่เป็นของจริง จะมีชื่อเรียกว่า “เอทิลแอลกอฮอล์” ส่วนของปลอม เรียกว่า “เมทิลแอลกอฮอล์” สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีเช็กเจลล้างมือว่าเป็นของปลอมหรือไม่ เรามีทริคดีๆ มาฝากกัน ดังนี้ค่ะ

1.นำไปวัดที่จุดเดือด

  • เริ่มกันที่วิธีการที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าแม่นยำที่สุด กับการนำไปวัดจุดเดือด ด้วยการใส่ในภาชนะทางเคมี ตั้งไฟ แล้วใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ รอสักพักจนแอลกอฮอล์ถึงจุดเดือด ซึ่งเอทิลแอลกอฮอล์ จะมีจุดเดือดอยู่ที่ 78 องศาเซลเซียส แต่ตรงกันข้ามหากเป็นเมทิลแอลกอฮอล์ จุดเดือดจะอยู่ที่ 65 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

2.เช็กด้วยกลิ่น

  • ต่อด้วยวิธีง่ายๆ สำหรับชาวบ้านหรือคนที่ไม่มีเครื่องมือมาก หากคุณมีเจลล้างมือลองดมกลิ่นโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ หากเป็นแอลกอฮอล์จริง จะมีกลิ่นที่แรงมากกว่าแอลกอฮอล์ปลอม เพราะเมทิลแอลกอฮอล์จะดมแล้วรู้สึกแสบจมูก อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำว่าเป็นวิธีที่ไม่ควรทำบ่อย เพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกาย

3.ทำปฏิกิริยาไอโอโดฟอร์ม

  • วิธีนี้ค่อนข้างยาก แต่สามารถวัดผลได้เกือบ 100% เพียงคุณนำตัวอย่างแอลกอฮอล์ ใส่หลอดทดลองและเติมสารละลายไอโอดีน เช่น เบตาตีน ผสมกับโซดาไฟ และแช่หลอดในอ่างน้ำอุ่น เสร็จแล้วลองเขย่าหลอด แล้วทิ้งไว้ 2 นาที หากแอลกอฮอล์เป็นของจริง จะตกตะกอนสีเหลือง แต่หากเป็นของปลอมจะไม่ตกตะกอนใดๆ

4.เช็กเปลวไฟ

  • ปิดท้ายด้วยวิธีที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงน้ำแอลกอฮอล์ทั้ง 2 แบบใส่ภาชนะ แล้วลองจุดไฟ คุณจะสังเกตได้ง่ายๆ ว่าหากมีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ ไฟจะลุกโชนและเป็นสีเหลืองมากกว่า แต่หากเป็นเมทิลแอลกอฮอล์ จะติดไฟได้น้อยกว่า และไฟจะเป็นสีฟ้ามากกว่า

อันตรายหรือผลเสียจากการใช้แอลกอฮอล์เจลปลอม

เมื่อทราบถึงวิธีการตรวจสอบแอลกอฮอล์เจลล้างมือเรียบร้อยแล้ว หลายคนก็ย่อมสามารถตรวจสอบเจลของตัวเองได้ แต่หากคนที่ยังไม่เคยตรวจสอบแล้วมีอาการระคายเคืองตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาจเป็นได้ว่าคุณได้ใช้เจลล้างมือปลอมไปแล้วนั่นเอง ดังนั้น เราลองมาเช็กอาการกันหน่อยดีกว่า ลองดูว่าคนใกล้ตัวคุณหรือแม้แต่ตัวคุณเองมีอาการเหล่านี้หลังใช้เจลหรือไม่ ถ้าหากมีให้รีบนำเจลล้างมือไปทิ้งโดยด่วน

1.คลื่นไส้ อาเจียน

  • เมทิลแอลกอฮอล์ จะมีกลิ่นที่แรงมากกว่าเอทิลแอลกอฮอล์ เมื่อสูดดมเข้าไปจะรู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้ และอาเจียนได้ หากดมเป็นระยะเวลานาน เพราะแท้จริงเจ้าเอทิลแอลกอฮอล์ มักใช้ในกระบวนการเคมีของเฟอร์นิเจอร์ ทาสีไม้ เป็นต้น ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายอย่างมาก

การล้างมือ

2.ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา

  • หากสูดดมกลิ่นของเมทิลแอลกอฮอล์ เป็นระยะเวลานานจะรู้สึกแสบจมูก และอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจให้มีปัญหาได้ ทั้งคัดจมูก หลอดลมอักเสบ และหายใจลำบาก เป็นต้น

3.ท้องเสีย ตาบอด

  • หากเผลอเอามือที่มีส่วนผสมของเมทิลแอลกอฮอล์เข้าปาก หรือปนเปื้อนอาหาร หากสะสมในร่างกายเป็นปริมาณมาก อาจส่งให้ท้องเสียได้ หรือร้ายแรงกว่านั้น อาจทำให้เยื่อบุตาอักเสบ จนถึงตาบอดได้

สำหรับใครที่ต้องเดินทางเป็นประจำ ควรพกเจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 70% ขึ้นไป เพื่อช่วยป้องกันคุณจากไวรัสโควิด-19 และเชื้อโรคต่างๆ และใครที่ไม่มั่นใจว่าเจลที่ใช้อยู่มีคุณภาพหรือไม่ ลองนำไปเช็กตามวิธีที่เราได้แนะนำไป จะช่วยให้คุณเกิดความสบายใจและปลอดภัยต่อร่างกาย อย่าปล่อยให้การดูแลตัวเองของคุณ ต้องส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าเดิม ดังนั้นจงเลือกซื้อและสังเกตเจลล้างมือที่ได้คุณภาพ เพียงเท่านี้นอกจากจะห่างไกลจากเชื้อ Covid-19 แล้วก็ยังไม่เสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากการใช้เจลล้างมือปลอมอีกด้วย